<p>ในขณะที่หลายภาคเศรษฐกิจยังรอจังหวะฟื้นตัว ภาครัฐกลับเดินหน้าเต็มกำลังในการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในมาตรการรัฐซื้อบ้านในปี 2568 ที่กำลัง "เป็นกระแส" ในขณะนี้ก็คือ การลดค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองเหลือเพียง 0.01% ซึ่งส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผู้ซื้อบ้าน และสร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุนโดยตรง มาตรการรัฐที่ช่วยแบ่งเบาภาระการซื้อบ้านนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว เพราะเริ่มใช้มาตั้งแต่ปลายปี 2562 แต่การ “ต่ออายุ” ให้ครอบคลุมถึงปี 2568 กลับเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับมาตรการรัฐด้านอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ เช่น แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง การลดภาษีที่ดิน และเงื่อนไขสินเชื่อที่ผ่อนปรนมากขึ้น</p>
<p><br /><img src="https://www.scasset.com/stocks/blog_list/o0x0/5j/4r/5j4r0dgia1g/Apr_6.png" alt="ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการรัฐซื้อบ้าน 2568" /></p>
<p> </p>
<h2><strong>1. ค่าโอน–จดจำนอง ลดเหลือ 0.01% เท่านั้น</strong></h2>
<p>หนึ่งในมาตรการรัฐด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนมากที่สุดคือ การลดค่าธรรมเนียม “โอนกรรมสิทธิ์” และ “จดจำนอง” จากอัตราเดิมที่ 2% และ 1% ตามลำดับ เหลือเพียง 0.01% ทั้งสองรายการ สำหรับบ้านหรือคอนโดที่มีราคาซื้อขายไม่เกิน 7 ล้านบาท</p>
<p>โดยมาตรการนี้ไม่ใช่แค่เรื่องต้นทุนลดลงเท่านั้น แต่ยังส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อผู้ซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เดิมลังเลเพราะภาระค่าใช้จ่ายวันโอนสูงเกินไป กลับกล้า “ตัดสินใจซื้อ” ได้เร็วขึ้น</p>
<p><strong>ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ </strong></p>
<ul>
<li>บ้านราคา 3 ล้านบาท จากเดิมที่ต้องเสียค่าโอน 2% ที่ 90,000 บาท เมื่อปรับใช้เรตใหม่ที่ 0.01% ค่าโอนจึงลดลงเหลือเพียง 600 บาท เท่ากับว่าประหยัดได้ถึง 89,400 บาท</li>
<li>บ้านราคา 5 ล้านบาท จากเดิมที่ต้องเสียค่าโอน 2% ที่ 150,000บาท เมื่อปรับใช้เรตใหม่ที่ 0.01% ค่าโอนจึงลดลงเหลือเพียง 1,000 บาท เท่ากับว่าประหยัดได้ถึง 149,000 บาท</li>
</ul>
<p> </p>
<h2><strong>2. การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2568</strong></h2>
<p>ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2568 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 2.00% ต่อปี โดยการตัดสินใจครั้งนี้มีที่มาจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ยังคงอยู่ในช่วงชะลอตัว นอกจากนั้น จากมุมมองของนักลงทุนในตลาดตราสารหนี้ มีการคาดการณ์เพิ่มเติมว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจลดดอกเบี้ยลงได้อีกถึง 2 ครั้งในปีนี้ สู่ระดับ 1.50% หากภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวตามที่คาด</p>
<p>อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านหรือคอนโดมิเนียม สถานการณ์ดอกเบี้ยแบบนี้ถือเป็น “โอกาสทอง” ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแค่ช่วยลดภาระค่างวดรายเดือน แต่ยังเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อให้ผ่านได้ง่ายขึ้นอีกด้วย</p>
<h2><strong>3. สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำจากโครงการภาครัฐ</strong></h2>
<p>นอกจากมาตรการรัฐซื้อบ้านที่ช่วยลดภาระค่าโอน จดจำนอง รวมถึงดอกเบี้ยแล้ว ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารของรัฐอื่น ๆ ยังได้ปล่อยโปรโมชันสินเชื่อบ้านที่น่าสนใจออกมาหลากหลายรูปแบบ โดยมีตัวอย่างสินเชื่อที่น่าสนใจ ดังนี้</p>
<p> </p>
<table>
<tbody>
<tr>
<td>
<p><strong>รายชื่อสินเชื่อ</strong></p>
</td>
<td>
<p><strong>จุดเด่น</strong></p>
</td>
</tr>
<tr>
<td>
<p><span style="font-weight: 400;">สินเชื่อบ้าน Happy Home จากธอส.</span></p>
</td>
<td>
<ul>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท</span></li>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี นาน 5 ปี</span></li>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย</span></li>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี</span></li>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">ยื่นกู้ได้ถึง 30 ธันวาคม 2568</span></li>
</ul>
</td>
</tr>
<tr>
<td>
<p><span style="font-weight: 400;">สินเชื่อบ้านออมสิน สบายใจ</span></p>
</td>
<td>
<ul>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">เฉลี่ยดอกเบี้ย 3 ปีแรกเพียง 2.89%</span></li>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท</span></li>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี</span></li>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">ยื่นกู้ได้ถึง 31 พฤษภาคม 2568</span></li>
</ul>
</td>
</tr>
<tr>
<td>
<p><span style="font-weight: 400;">โครงการบ้านตั้งต้น สำหรับกลุ่ม First Jobber</span></p>
</td>
<td>
<ul>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">จัดโดยการเคหะแห่งชาติ</span></li>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">มีทั้งหมด 7,823 หน่วย (บ้านเพื่อขาย 6,395 หน่วย และบ้านเพื่อเช่า 1,428 หน่วย)</span></li>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">มีทางเลือกในการเข้าถึง 3 วิธี: เช่าเพื่อซื้อ, ซื้อแล้วผ่อนชำระกับสถาบันการเงิน หรือเช่าซื้อโดยตรงกับการเคหะแห่งชาติ</span></li>
<li style="font-weight: 400;" aria-level="1"><span style="font-weight: 400;">สามารถใช้สิทธิ์ได้ตลอดปี 2568</span></li>
</ul>
</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<p><br /><br /></p>
<h2><strong>4. ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราว</strong></h2>
<p>อีกหนึ่งมาตรการรัฐซื้อบ้านในปี 2568 ที่หลายคนอาจมองข้ามคือ การผ่อนคลายกฎ Loan-to-Value (LTV) ซึ่งเดิมเคยเป็นข้อจำกัดใหญ่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป เพราะต้องวางเงินดาวน์สูง โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้</p>
<ol>
<li>กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็น 100% สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ในกรณี</li>
<ul>
<li>มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป</li>
<li>มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป</li>
</ul>
<li>การผ่อนคลายนี้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 - 30 มิถุนายน 2569</li>
</ol>
<p>ซึ่งถือว่ามาตรการรัฐซื้อบ้านที่ช่วยผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เป็นการ “ปลดล็อก” นักลงทุนให้กลับมาลงทุนในตลาดอสังหาฯ ได้มากขึ้น</p>
<p> </p>
<h2><strong>5. ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่อเนื่อง</strong></h2>
<p>รัฐบาลได้ขยายระยะเวลามาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ต่อเนื่องถึงปี 2568 เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ โดยมีรายละเอียดอัตราภาษี ดังนี้</p>
<p><strong>เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง </strong></p>
<ul>
<li>มูลค่า 0-50 ล้านบาท : ได้รับการยกเว้น</li>
<li>มูลค่า 50-75 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.05%</li>
<li>มูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป : อัตราภาษี 0.10%</li>
</ul>
<p><strong>เจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง</strong></p>
<ul>
<li>มูลค่า 0-50 ล้านบาท : ได้รับการยกเว้น</li>
<li>มูลค่า 50-75 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.03%</li>
<li>มูลค่า 75-100 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.05%</li>
<li>มูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป : อัตราภาษี 0.10%</li>
</ul>
<p><img src="https://www.scasset.com/stocks/blog_list/o0x0/gr/zf/grzfdxc59kl/Apr25_Blog_6_ครอบครัวได้บ้านที่ถูกใจเพราะมาตรการรัฐซื้อบ้าน.jpg" alt="ครอบครัวได้บ้านที่ถูกใจเพราะมาตรการรัฐซื้อบ้าน" /></p>
<p> </p>
<p> </p>
<h2><strong>6. โครงการบ้านเพื่อคนไทย ผ่อนเดือนละ 4,000 บาท</strong></h2>
<p>โครงการบ้านเพื่อคนไทยเป็นอีกหนึ่งมาตรการรัฐซื้อบ้าน ที่ทางรัฐบาลพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยในราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable Housing) ทั้งยังใกล้กับระบบขนส่งมวลชน โดยมีจุดเด่นสำคัญ คือ</p>
<ul>
<li>มีทั้งคอนโดและบ้านเดี่ยว ไม่ต้องดาวน์</li>
<li>ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 4,000 บาทต่อเดือน</li>
<li>อยู่ได้นาน 99 ปี</li>
<li>สนับสนุนสินเชื่อจากธอส. ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.5%</li>
</ul>
<p>โครงการนำร่องเริ่มในกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ ได้แก่ ย่านบางซื่อ, สถานีธนบุรี, สถานีรถไฟเชียงราก และสถานีรถไฟเชียงใหม่</p>
<p><strong>คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์</strong></p>
<ol>
<li>เป็นผู้มีสัญชาติไทย</li>
<li>บรรลุนิติภาวะ</li>
<li>มีรายได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน</li>
<li>ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้พักอาศัยได้</li>
<li>ไม่เคยได้สิทธิในโครงการบ้านเพื่อคนไทย</li>
</ol>
<h2><strong>7. การผ่อนปรนเกณฑ์กรณีกู้ร่วม</strong></h2>
<p>ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนปรนการนับสัญญากรณีกู้ร่วม โดยถ้าผู้กู้ไม่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ จะถือว่ายังไม่เป็นผู้กู้ในครั้งนั้น เนื่องจากไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่ออยู่อาศัย เพียงแค่ช่วยเหลือกันภายในครอบครัว โดยหลักการนับสัญญาสำหรับการกู้ร่วมจะพิจารณาตามผู้กู้ที่มีกรรมสิทธิ์บนที่อยู่อาศัยเป็นหลัก เช่น</p>
<ul>
<li>หากทั้ง A และ B กู้ร่วมกัน แต่มีเพียง B ที่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย สัญญานี้จะนับเป็นสัญญาแรกของ B และไม่นับเป็นสัญญาที่ 2 ของ A</li>
</ul>
<p>มาตรการรัฐด้านอสังหาริมทรัพย์นี้ช่วยให้สมาชิกในครอบครัวสามารถกู้ร่วมกันได้สะดวกขึ้น โดยไม่กระทบต่อโอกาสในการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยของตนเองในอนาคต</p>
<p>สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านที่ให้มากกว่าการอยู่อาศัย ในปีที่เปรียบเสมือนโอกาสทองสำหรับคนอยากมีบ้าน ทาวน์โฮมและ</p>
<p><a href="https://www.scasset.com/th/townhome/">ทาวน์เฮ้าส์</a>จาก SC Asset คืออีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยดีไซน์ทันสมัย ฟังก์ชันตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ และทำเลศักยภาพ พร้อมพื้นที่ส่วนกลางครบครัน พร้อมให้คุณเข้าอยู่และใช้ชีวิตได้ทันที ภายใต้ระบบความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ตลอด 24 ชั่วโมง</p>
<p>กรอกฟอร์มบนเว็บไซต์หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.<a href="tel: 1749">1749</a> เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยแนะนำบ้านที่ใช่และเหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์</p>
<p> </p>

ในขณะที่หลายภาคเศรษฐกิจยังรอจังหวะฟื้นตัว ภาครัฐกลับเดินหน้าเต็มกำลังในการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในมาตรการรัฐซื้อบ้านในปี 2568 ที่กำลัง "เป็นกระแส" ในขณะนี้ก็คือ การลดค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองเหลือเพียง 0.01% ซึ่งส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผู้ซื้อบ้าน และสร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุนโดยตรง มาตรการรัฐที่ช่วยแบ่งเบาภาระการซื้อบ้านนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว เพราะเริ่มใช้มาตั้งแต่ปลายปี 2562 แต่การ “ต่ออายุ” ให้ครอบคลุมถึงปี 2568 กลับเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับมาตรการรัฐด้านอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ เช่น แนวโน้มดอกเบี้ยขาลง การลดภาษีที่ดิน และเงื่อนไขสินเชื่อที่ผ่อนปรนมากขึ้น

 
1. ค่าโอน–จดจำนอง ลดเหลือ 0.01% เท่านั้น
หนึ่งในมาตรการรัฐด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อประชาชนมากที่สุดคือ การลดค่าธรรมเนียม “โอนกรรมสิทธิ์” และ “จดจำนอง” จากอัตราเดิมที่ 2% และ 1% ตามลำดับ เหลือเพียง 0.01% ทั้งสองรายการ สำหรับบ้านหรือคอนโดที่มีราคาซื้อขายไม่เกิน 7 ล้านบาท
โดยมาตรการนี้ไม่ใช่แค่เรื่องต้นทุนลดลงเท่านั้น แต่ยังส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อผู้ซื้อ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เดิมลังเลเพราะภาระค่าใช้จ่ายวันโอนสูงเกินไป กลับกล้า “ตัดสินใจซื้อ” ได้เร็วขึ้น
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ 

บ้านราคา 3 ล้านบาท จากเดิมที่ต้องเสียค่าโอน 2% ที่ 90,000 บาท เมื่อปรับใช้เรตใหม่ที่ 0.01% ค่าโอนจึงลดลงเหลือเพียง 600 บาท เท่ากับว่าประหยัดได้ถึง 89,400 บาท
บ้านราคา 5 ล้านบาท จากเดิมที่ต้องเสียค่าโอน 2% ที่ 150,000บาท เมื่อปรับใช้เรตใหม่ที่ 0.01% ค่าโอนจึงลดลงเหลือเพียง 1,000 บาท เท่ากับว่าประหยัดได้ถึง 149,000 บาท

 
2. การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2568
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2568 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 2.00% ต่อปี โดยการตัดสินใจครั้งนี้มีที่มาจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ยังคงอยู่ในช่วงชะลอตัว นอกจากนั้น จากมุมมองของนักลงทุนในตลาดตราสารหนี้ มีการคาดการณ์เพิ่มเติมว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจลดดอกเบี้ยลงได้อีกถึง 2 ครั้งในปีนี้ สู่ระดับ 1.50% หากภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวตามที่คาด
อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านหรือคอนโดมิเนียม สถานการณ์ดอกเบี้ยแบบนี้ถือเป็น “โอกาสทอง” ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแค่ช่วยลดภาระค่างวดรายเดือน แต่ยังเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อให้ผ่านได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
3. สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำจากโครงการภาครัฐ
นอกจากมาตรการรัฐซื้อบ้านที่ช่วยลดภาระค่าโอน จดจำนอง รวมถึงดอกเบี้ยแล้ว ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารของรัฐอื่น ๆ ยังได้ปล่อยโปรโมชันสินเชื่อบ้านที่น่าสนใจออกมาหลากหลายรูปแบบ โดยมีตัวอย่างสินเชื่อที่น่าสนใจ ดังนี้
 




รายชื่อสินเชื่อ


จุดเด่น




สินเชื่อบ้าน Happy Home จากธอส.



วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท
อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี นาน 5 ปี
วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย
ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี
ยื่นกู้ได้ถึง 30 ธันวาคม 2568





สินเชื่อบ้านออมสิน สบายใจ



เฉลี่ยดอกเบี้ย 3 ปีแรกเพียง 2.89%
วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท
ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี
ยื่นกู้ได้ถึง 31 พฤษภาคม 2568





โครงการบ้านตั้งต้น สำหรับกลุ่ม First Jobber



จัดโดยการเคหะแห่งชาติ
มีทั้งหมด 7,823 หน่วย (บ้านเพื่อขาย 6,395 หน่วย และบ้านเพื่อเช่า 1,428 หน่วย)
มีทางเลือกในการเข้าถึง 3 วิธี: เช่าเพื่อซื้อ, ซื้อแล้วผ่อนชำระกับสถาบันการเงิน หรือเช่าซื้อโดยตรงกับการเคหะแห่งชาติ
สามารถใช้สิทธิ์ได้ตลอดปี 2568






4. ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราว
อีกหนึ่งมาตรการรัฐซื้อบ้านในปี 2568 ที่หลายคนอาจมองข้ามคือ การผ่อนคลายกฎ Loan-to-Value (LTV) ซึ่งเดิมเคยเป็นข้อจำกัดใหญ่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป เพราะต้องวางเงินดาวน์สูง โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเป็น 100% สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ในกรณี

มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป
มูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป

การผ่อนคลายนี้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 - 30 มิถุนายน 2569

ซึ่งถือว่ามาตรการรัฐซื้อบ้านที่ช่วยผ่อนคลายเกณฑ์ LTV เป็นการ “ปลดล็อก” นักลงทุนให้กลับมาลงทุนในตลาดอสังหาฯ ได้มากขึ้น
 
5. ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่อเนื่อง
รัฐบาลได้ขยายระยะเวลามาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% ต่อเนื่องถึงปี 2568 เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ โดยมีรายละเอียดอัตราภาษี ดังนี้
เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 

มูลค่า 0-50 ล้านบาท : ได้รับการยกเว้น
มูลค่า 50-75 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.05%
มูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป : อัตราภาษี 0.10%

เจ้าของเฉพาะสิ่งปลูกสร้าง

มูลค่า 0-50 ล้านบาท : ได้รับการยกเว้น
มูลค่า 50-75 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.03%
มูลค่า 75-100 ล้านบาท : อัตราภาษี 0.05%
มูลค่า 100 ล้านบาทขึ้นไป : อัตราภาษี 0.10%


 
 
6. โครงการบ้านเพื่อคนไทย ผ่อนเดือนละ 4,000 บาท
โครงการบ้านเพื่อคนไทยเป็นอีกหนึ่งมาตรการรัฐซื้อบ้าน ที่ทางรัฐบาลพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยในราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable Housing) ทั้งยังใกล้กับระบบขนส่งมวลชน โดยมีจุดเด่นสำคัญ คือ

มีทั้งคอนโดและบ้านเดี่ยว ไม่ต้องดาวน์
ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 4,000 บาทต่อเดือน
อยู่ได้นาน 99 ปี
สนับสนุนสินเชื่อจากธอส. ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.5%

โครงการนำร่องเริ่มในกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ ได้แก่ ย่านบางซื่อ, สถานีธนบุรี, สถานีรถไฟเชียงราก และสถานีรถไฟเชียงใหม่
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์

เป็นผู้มีสัญชาติไทย
บรรลุนิติภาวะ
มีรายได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน
ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้พักอาศัยได้
ไม่เคยได้สิทธิในโครงการบ้านเพื่อคนไทย

7. การผ่อนปรนเกณฑ์กรณีกู้ร่วม
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผ่อนปรนการนับสัญญากรณีกู้ร่วม โดยถ้าผู้กู้ไม่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ จะถือว่ายังไม่เป็นผู้กู้ในครั้งนั้น เนื่องจากไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่ออยู่อาศัย เพียงแค่ช่วยเหลือกันภายในครอบครัว โดยหลักการนับสัญญาสำหรับการกู้ร่วมจะพิจารณาตามผู้กู้ที่มีกรรมสิทธิ์บนที่อยู่อาศัยเป็นหลัก เช่น

หากทั้ง A และ B กู้ร่วมกัน แต่มีเพียง B ที่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย สัญญานี้จะนับเป็นสัญญาแรกของ B และไม่นับเป็นสัญญาที่ 2 ของ A

มาตรการรัฐด้านอสังหาริมทรัพย์นี้ช่วยให้สมาชิกในครอบครัวสามารถกู้ร่วมกันได้สะดวกขึ้น โดยไม่กระทบต่อโอกาสในการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยของตนเองในอนาคต
สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านที่ให้มากกว่าการอยู่อาศัย ในปีที่เปรียบเสมือนโอกาสทองสำหรับคนอยากมีบ้าน ทาวน์โฮมและ
ทาวน์เฮ้าส์จาก SC Asset คืออีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยดีไซน์ทันสมัย ฟังก์ชันตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ และทำเลศักยภาพ พร้อมพื้นที่ส่วนกลางครบครัน พร้อมให้คุณเข้าอยู่และใช้ชีวิตได้ทันที ภายใต้ระบบความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ตลอด 24 ชั่วโมง
กรอกฟอร์มบนเว็บไซต์หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1749 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยแนะนำบ้านที่ใช่และเหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์
 

รวมมาตรการรัฐซื้อบ้าน 2568 ที่ต้องรู้ ทั้งลดค่าโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% ดอกเบี้ยบ้านต่ำ ขยายเวลาลดภาษีที่ดิน พร้อมผ่อนคลายเกณฑ์ LTV กู้ได้เต็ม 100%

ลดค่าโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% ! บอกครบมาตรการรัฐซื้อบ้าน 2568

อยากซื้อบ้านให้คุ้ม ต้องรู้มาตรการรัฐซื้อบ้านอะไรบ้าง ?

แนะนำ 3 เทคนิครีโนเวทบ้านให้น่าอยู่ ครบทุกองค์ประกอบ พร้อมเคล็ดลับกู้สินเชื่อต่อเติมบ้านให้คุ้มค่า ช่วยเปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นบ้านในฝันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

Tips รีโนเวทบ้านที่คุณจะหลงรัก พร้อมเคล็ดลับกู้ต่อเติมบ้าน !

แชร์ Tips รีโนเวทบ้านให้น่าอยู่ พร้อมเคล็ดลับกู้ต่อเติมบ้าน

การจะตัดสินใจซื้อบ้านสักหลัง หลายคนต้องพิจารณาจากหลากหลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นราคา ทำเลที่ตั้ง การเดินทาง และระบบคมนาคมขนส่ง แต่มีสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่ควรให้ความสำคัญเช่นกัน นั่นก็คือเรื่องของ "สีผังเมืองกรุงเทพฯ" ที่บอกถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่นั้น ๆ
 
สำหรับคนที่กำลังวางแผนซื้อบ้าน แต่ไม่รู้ว่าผังสีที่ดินช่วยให้รู้อะไรบ้าง เราจะพาไปทำความเข้าใจกันให้มากขึ้น เพื่อให้คุณสามารถเลือกทำเลที่อยู่อาศัยได้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากที่สุด
 
สีผังเมืองคืออะไร ทำไมต้องรู้ก่อนซื้ออสังหาริมทรัพย์ ?
สีผังเมือง คือสีที่ใช้ในผังเมืองรวม ซึ่งเป็นเอกสารทางการที่รัฐใช้ควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบ ป้องกันความขัดแย้ง และลดผลกระทบต่อกัน โดยแบ่งเป็นโซนที่อยู่อาศัย โซนพาณิชยกรรม โซนอุตสาหกรรม และอื่น ๆ
การรู้และเข้าใจสีผังเมืองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าพื้นที่ที่สนใจเหมาะสำหรับการซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งเข้ากับลักษณะการใช้ชีวิตของตนเองและครอบครัวหรือไม่

 
หมายเหตุ : แผนผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้จำแนกประเภทฉบับนี้ เป็นเอกสารที่เผยแพร่สำหรับประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นและปรึกษาหารือกับประชาชน เกี่ยวกับการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่ 4)
 
รู้จักสีผังเมืองกรุงเทพฯ สีไหนบอกอะไร ?
ผังสีที่ดินในกรุงเทพมหานคร ได้มีการกำหนดสีเพื่อแสดงการใช้ประโยชน์ของที่ดินเอาไว้ ดังนี้
สีเหลือง
สำหรับคนที่สงสัยว่าพื้นที่สีเหลือง สร้างอะไรได้บ้าง ต้องบอกว่าในบริเวณนี้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ใช้สำหรับใช้ประโยชน์ในด้านที่อยู่อาศัยและยังมีความหนาแน่นน้อย เหมาะกับคนที่ต้องการความสงบ ห่างไกลจากความวุ่นวาย โดยส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือทาวน์เฮาส์
สีส้ม
พื้นที่สีส้มถูกกำหนดการใช้ประโยชน์ให้เป็นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง จึงเหมาะสำหรับการสร้างซื้อคอนโดมิเนียมหรือบ้านเพื่อสร้างครอบครัว หากใครที่เล็งพื้นที่สีส้มเอาไว้ และกังวลว่าในอนาคตจะมีการสร้างโรงงานได้หรือไม่ บอกเลยว่าค่อนข้างเป็นไปได้ยาก
สีแดง
พื้นที่สีแดงได้รับการกำหนดให้เป็นย่านการค้าขาย พาณิชยกรรม และการท่องเที่ยว จึงมีห้างสรรพสินค้า และแหล่งบันเทิงอยู่หนาแน่น ทำให้มีความคึกคักตลอดเวลา แต่สามารถสร้างตึกสูง เพื่อการอยู่อาศัยได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความสะดวกสบายและไม่กังวลกับเรื่องเสียงรบกวน
พื้นที่สีม่วง
มาถึงอีกหนึ่งข้อสงสัยของหลาย ๆ คน คือพื้นที่สีม่วงสามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง ต้องอธิบายก่อนว่า บริเวณนี้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จึงไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยเนื่องจากอาจมีมลพิษและเสียงดังรบกวน
สีเม็ดมะปราง
บริเวณผังเมืองที่เป็นสีเม็ดมะปราง เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย เนื่องจากถูกกำหนดการใช้ประโยชน์ให้เป็นย่านของคลังสินค้า หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งจะมีเสียงรบกวน และการจราจรที่หนาแน่น
สีเขียวมะกอก
บริเวณที่เป็นสีเขียวมะกอก แสดงถึงย่านของสถาบันการศึกษา เป็นพื้นที่สำหรับโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือสถาบันวิจัย ดังนั้นครอบครัวที่มีลูกในวัยเรียน ควรคำนึงถึงการเลือกที่อยู่อาศัยที่ไม่ห่างไกลจากพื้นที่เหล่านี้
สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว
พื้นที่สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว แสดงถึงพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม จึงมีข้อจำกัดในการพัฒนา ไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย
สีน้ำเงิน
สีน้ำเงิน เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย เนื่องจากเป็นย่านหน่วยงานราชการ ทหาร ตำรวจ หรือรัฐวิสาหกิจ เสี่ยงต่อการจราจรที่หนาแน่น และประชากรพลุกพล่านได้ง่าย
 

 
อัปเดต 2568 ผังเมืองกรุงเทพฯ มีการเปลี่ยนแปลงโซนสีที่ทำเลใดบ้าง ?
ผังเมืองกรุงเทพฯ ฉบับปรับปรุงใหม่ ที่อยู่ระหว่างการจัดทำและคาดว่าจะประกาศใช้งานภายในปี 2568 มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินในหลายเขตพื้นที่ ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
 




ทำเล


การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน




กรุงรัตนโกสินทร์


พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์และบริเวณโดยรอบได้รับการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดิน จากเพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม เป็นประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก รวมถึงพาณิชยกรรม และสถาบันราชการ 




ลาดพร้าว-รามอินทรา


พื้นที่ลาดพร้าว-รามอินทรา มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลางและพาณิชยกรรม โดยเฉพาะบริเวณที่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี) เพื่อรองรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวสูงและการเติบโตของชุมชนเมือง




ดอนเมือง-หลักสี่


พื้นที่ดอนเมือง-หลักสี่ จากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีส้มที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง จึงทำให้มีการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินในบริเวณนี้ เป็นประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการบ้านและคอนโด รวมถึงการขยายตัวของศูนย์การค้า โรงแรม และสำนักงานตลอดแนวรถไฟฟ้า




รัชโยธิน


พื้นที่รัชโยธินได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก เนื่องจากการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) สายสีเขียว (หมอชิต-คูคต) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และเพื่อการรองรับที่อยู่อาศัยแนวสูงมากยิ่งขึ้น 




มีนบุรี


พื้นที่มีนบุรีได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่น เพื่อรองรับการเติบโตของชุมชนเมืองตะวันออก โดยเฉพาะบริเวณใกล้เคียงกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม (มีแผนเปิดให้บริการในปี 2573) ทำให้มีโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงเพิ่มขึ้นอย่างมาก




ศรีนครินทร์


พื้นที่ศรีนครินทร์มีการเปลี่ยนแปลงเป็นประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง และมีการขยายพื้นที่พาณิชยกรรมตามแนวถนนศรีนครินทร์ ทำให้เกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและศูนย์การค้าขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น




ทางน้ำหลากฝั่งตะวันออก


พื้นที่ฝั่งตะวันออกได้รับการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นประเภทชนบทและเกษตรกรรม เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวตามแนวทางน้ำหลากฝั่งตะวันออก รวมถึงเป็นแนวป้องกันน้ำท่วมและเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ 




ตลิ่งชัน-ทวีวัฒนา


พื้นที่ฝั่งธนบุรีมีการปรับเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองและสีส้มมากขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวของที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ทำให้พื้นที่นี้มีศักยภาพในการเติบโตสูง




วงเวียนใหญ่-สุขสวัสดิ์


พื้นที่บริเวณนี้ มีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลางและพาณิชยกรรม โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว (สนามกีฬาแห่งชาติ-บางหว้า) และสายสีม่วง (เตาปูน-ครุใน) เพื่อรองรับการพัฒนาคอนโดมิเนียมสูงและศูนย์การค้าเพิ่มขึ้น 




 
เช็กผังเมือง รู้เรื่องที่ควรเลี่ยง ก่อนเลือกซื้อบ้าน
ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน ควรพิจารณาเลือกทำเลโดยอาศัยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้

หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้โรงงานอย่างน้อย 1-2 กิโลเมตร เนื่องจากอาจมีมลพิษทางอากาศ เสียง และน้ำ
หลีกเลี่ยงความเสี่ยงการถูกเวนคืน ด้วยการตรวจสอบแผนโครงการพัฒนาในอนาคตของรัฐ เช่น ถนน ทางด่วน หรือรถไฟฟ้า
หลีกเลี่ยงพื้นที่ทางผ่านน้ำด้วยการตรวจสอบประวัติน้ำท่วมในพื้นที่ เพื่อลดความเสี่ยงปัญหาน้ำท่วมในการอยู่อาศัย
เลือกอาศัยในทำเลที่ใกล้เคียงกับการพัฒนาระบบรางช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์
เลือกย่านใจกลางการพัฒนาหรือที่อยู่อาศัยหนาแน่น เนื่องจากมักมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสถาบันการศึกษา

การได้เข้าใจความหมายของสีผังเมือง และพื้นที่ที่ควรหลีกเลี่ยง ก็จะช่วยให้สามารถเลือกทำเลที่เหมาะกับการซื้อบ้านและตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างลงตัวมากที่สุด
 
สำหรับผู้ที่ต้องการเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม เลือกโครงการคุณภาพจาก SC Asset ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ พร้อมทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล รับข้อเสนอพิเศษสำหรับคุณ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1749เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยแนะนำบ้านที่ใช่และเหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์
 

เข้าใจความหมายของสีผังเมืองกรุงเทพฯ อัปเดตความเปลี่ยนแปลงของผังเมืองล่าสุด พร้อมคำแนะนำในการเลือกทำเลที่อยู่อาศัยให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคุณ

สีผังเมืองบอกอะไร ควรเข้าใจก่อนเลือกซื้อบ้านหรือคอนโด

สีผังเมืองกรุงเทพฯ เข้าใจก่อนเลือกซื้อบ้านให้ตรงกับไลฟ์สไตล์

<p>การเลือกปลูกต้นไม้รอบ ๆ บ้าน อาจสร้างความกังวลเรื่องระบบรากที่อาจทำลายโครงสร้างของบ้าน รวมถึงท่อระบายน้ำ และพื้นคอนกรีต ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงก่อให้เกิดความเสียหายที่มีค่าซ่อมแซมสูง แต่ยังมาพร้อมกับการจัดการที่ยุ่งยากในอนาคตอีกด้วย</p>
<p>อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงยังมีต้นไม้อีกหลายชนิดที่ให้ร่มเงาได้ดีเยี่ยม และสำคัญที่สุดคือเมื่อเติบโตเต็มที่ ระบบรากยังไม่ทำลายโครงสร้างบ้าน ซึ่งในบทความนี้ เรารวบรวมมาให้คนรักบ้านได้รู้จักถึง 6 ชนิดด้วยกัน</p>
<p> </p>
<p><img src="https://www.scasset.com/stocks/blog_list/o0x0/lh/6t/lh6tfsen2qp/Apr_3_ต้นไม้ให้ร่ม_V2.png" alt="6 ต้นไม้ที่ปลูกใกล้บ้านได้ ให้ร่มเงา ไร้กังวลเรื่องรากชอนไช" /></p>
<p> </p>
<h2><strong>6 ต้นไม้ที่ปลูกใกล้บ้านได้ ให้ร่มเงา และรากไม่ทำลายโครงสร้างบ้าน</strong></h2>
<h3><strong>1. ต้นแคนา</strong></h3>
<p>ไม้ยืนต้นทรงกระบอกสูงที่โดดเด่นด้วยพุ่มใบและฝักสวยงาม ให้ร่มเงาได้ดีตลอดวัน ข้อดีสำคัญคือระบบรากไม่แผ่กว้างมากและไม่ทำลายโครงสร้างบ้าน จึงปลูกใกล้บ้านได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ดอกและยอดของต้นแคนายังสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนู ที่สำคัญต้นไม้ชนิดนี้ชอบแดด และเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยแทบทุกชนิด จึงทำให้การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก</p>
<h3><strong>2. ต้นปีป</strong></h3>
<p>ต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงาม ให้ร่มเงาได้ดีตลอดทั้งปี สำหรับต้นปีบ สิ่งที่โดดเด่นคือรากไม่แข็งแรงพอที่จะทำลายโครงสร้างบ้านได้ อีกทั้งยังมีดอกที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ อยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังคือใบและดอกจะร่วงง่าย ดังนั้นจึงควรหมั่นเก็บกวาดอยู่เสมอเพื่อความเรียบร้อย</p>
<h3><strong>3. ต้นหูกระจงแคระ</strong></h3>
<p>ต้นหูกระจงแคระเป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาได้ดี มีใบสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ที่สำคัญมีระบบรากที่ไม่ลึกและไม่แผ่กว้าง จึงปลอดภัยต่อโครงสร้างบ้าน อีกทั้งยังสามารถตัดแต่งทรงพุ่มได้หลากหลายรูปแบบ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบจัดแต่งสวนให้สวยงามและเป็นระเบียบ</p>
<h3><strong>4. ต้นล่ำซำ</strong></h3>
<p>ไม้มงคลที่มีใบเขียวสดตลอดปีและให้ร่มเงาดี ลักษณะเด่นคือมีระบบรากเป็นแนวดิ่ง ไม่แผ่ออกในแนวราบ จึงปลอดภัยต่อโครงสร้างบ้าน แถมยังสามารถปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด ยกเว้นดินที่มีน้ำท่วมขัง อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่อยากปลูกบริเวณใกล้ตัวบ้าน ควรเว้นระยะห่างจากตัวบ้านประมาณ 4-5 เมตร เพราะเมื่อต้นไม้เติบโต นอกจากจะช่วยสร้างร่มเงาให้กับบริเวณบ้านได้แล้ว ยังเป็นการหลีกเลี่ยงที่พุ่มไม้ของต้นล่ำซำจะล้ำเข้ามาในบ้านมากจนเกินไปด้วย</p>
<h3><strong>5. ต้นซิลเวอร์โอ๊ก</strong></h3>
<p>ซิลเวอร์โอ๊กเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่มีความสูงประมาณ 18-35 เมตร แต่ถึงแม้จะมีขนาดใหญ่ รากของต้นไม้ประเภทนี้กลับไม่ทำลายฐานรากหรือท่อระบายน้ำ จึงได้รับความนิยมในการปลูกเป็นไม้ประดับหรือจัดเป็นแนวรั้ว อีกทั้งยังเหมาะอย่างยิ่งกับบ้านที่มีพื้นที่สวนกว้างขวาง</p>
<h3><strong>6. ต้นราชพฤกษ์ หรือ คูน</strong></h3>
<p>ต้นราชพฤกษ์มีดอกสีเหลืองทองสวยงามที่บานสะพรั่งในช่วงฤดูแล้ง มีข้อดีคือระบบรากที่ไม่แผ่กว้างมากและไม่รุกรานโครงสร้าง อีกทั้งยังทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดีและดูแลรักษาง่าย</p>
<p> </p>
<h2><strong>เทคนิคการปลูกต้นไม้ให้ปลอดภัยต่อโครงสร้างบ้าน</strong></h2>
<p>นอกจากเลือกต้นไม้ที่ให้ร่มเงา รากไม่ชอนไช และปลอดภัยต่อโครงสร้างบ้านแล้ว การดูแลด้วยเทคนิคที่ถูกต้องก็เป็นอีกวิธีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้แก่บ้านของคุณ</p>
<h3><strong>เว้นระยะห่างที่เหมาะสม</strong></h3>
<p>ก่อนปลูก ควรคำนึงถึงขนาดของต้นไม้เมื่อโตเต็มที่ และเว้นระยะห่างจากตัวบ้าน ฐานราก หรือท่อระบายน้ำอย่างเหมาะสม โดยทั่วไปควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3-5 เมตร สำหรับต้นไม้ขนาดใหญ่ หรือ 1-2 เมตร สำหรับต้นไม้ขนาดเล็กถึงกลาง</p>
<h3><strong>ใช้แผ่นกั้นราก (Root Barrier)</strong></h3>
<p>การติดตั้งแผ่นกั้นรากลงไปในดินเป็นวิธีควบคุมทิศทางการเติบโตของราก ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้รากแทรกเข้าไปในโครงสร้างบ้านหรือท่อระบายน้ำได้</p>
<h3><strong>สร้างบ่อปลูกที่เหมาะสม</strong></h3>
<p>การสร้างบ่อปลูกที่มีขนาดและความลึกเหมาะสมจะช่วยให้รากเติบโตได้ดีโดยไม่รุกล้ำพื้นที่โดยรอบ ที่สำคัญคือควรออกแบบให้มีการระบายน้ำที่ดีและมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเติบโต เพื่อไม่ให้รากขยายออกไปหาอาหารไกลเกินไป</p>
<h3><strong>จัดการระบบน้ำอย่างเหมาะสม</strong></h3>
<p>การให้น้ำในปริมาณที่พอเหมาะและสม่ำเสมอจะช่วยให้รากไม่ต้องขยายตัวเพื่อหาน้ำ หรือแทรกเข้าไปในท่อระบายน้ำหรือรอยแตกของโครงสร้าง</p>
<p> </p>
<h3><strong>ตัดแต่งทรงพุ่มและรากอย่างสม่ำเสมอ</strong></h3>
<p>การตัดแต่งทรงพุ่มและรากอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง จะช่วยป้องกันไม่ให้ต้นไม้รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่ต้องการ และทำให้ทรงพุ่มสวยงามไปด้วยพร้อมกัน</p>
<p> </p>
<h2><strong>ต้นไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงปลูกใกล้บ้าน</strong></h2>
<p>สำหรับต้นไม้ที่ไม่ควรปลูกใกล้บ้าน หลัก ๆ มีอยู่ 5 ชนิดด้วยกัน</p>
<p> </p>
<h3><strong>1. ต้นไทร (รวมถึงไทรย้อย ไทรเกาหลี)</strong></h3>
<p>ต้นไทรมีระบบรากที่แผ่กว้างและแข็งแรงมาก จึงสามารถแทรกเข้าไปในรอยแตกของโครงสร้างได้ นอกจากนี้ รากของไทรยังสามารถยกพื้นคอนกรีตและทำลายท่อระบายน้ำได้ง่าย</p>
<p> </p>
<h3><strong>2. ต้นมะขาม</strong></h3>
<p>แม้จะเป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาได้ดี แต่ต้นมะขามมีระบบรากที่แข็งแรง ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปในรอยแตกของฐานรากบ้านและทำให้โครงสร้างเสียหายได้ในระยะยาว</p>
<p> </p>
<h3><strong>3. ต้นโพธิ์</strong></h3>
<p>รากของต้นโพธิ์สามารถเติบโตได้ยาวหลายเมตรและค้นหาแหล่งน้ำได้ไกล ดังนั้น แม้จะเป็นไม้มงคล แต่หากปลูกใกล้บ้าน รากก็อาจเข้าไปทำลายฐานและพื้นคอนกรีตได้อย่างรุนแรง</p>
<p> </p>
<h3><strong>4. </strong><strong>ต้นยูคาลิปตัส</strong></h3>
<p>รากของต้นยูคาลิปตัสทั้งแผ่กว้าง และดูดน้ำจากดินในปริมาณมาก ทำให้ดินแห้งและอาจส่งผลให้บ้านทรุดตัว นอกจากนี้ รากของต้นยูคาลิปตัสยังชอบชอนไชหาแหล่งน้ำและแทรกเข้าไปในท่อระบายน้ำจนเกิดการอุดตัน จึงไม่เหมาะสำหรับการปลูกใกล้บริเวณบ้าน</p>
<p> </p>
<h3><strong>5. ต้นสน</strong></h3>
<p>ต้นสนบางชนิดมีระบบรากที่แผ่กว้างในแนวราบ ซึ่งสามารถดันและทำลายพื้นคอนกรีตได้เมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้ เข็มสนจากต้นสนที่ร่วงหล่นยังสามารถอุดตันรางน้ำและท่อ ก่อให้เกิดปัญหาการระบายน้ำในระยะยาวได้</p>
<p> </p>
<p><img src="https://www.scasset.com/stocks/blog_list/o0x0/tz/xb/tzxbocuhp3h/BBLS-8_(1).jpg" alt="โครงการบ้านที่บริเวณโดยรอบปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาที่รากไม่ทำลายโครงสร้างบ้าน" /></p>
<p> </p>
<p>สำหรับคนที่กำลังมองหาบ้านในฝันที่มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอสำหรับจัดสวนและปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา ขอแนะนำ<a href="https://www.scasset.com/th/property/type/two-storey-house/">บ้านโมเดิร์น 2 ชั้น</a>จาก SC Asset ที่มีการออกแบบพื้นที่ภายนอกอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นโครงการ "เวนิว ไอดี" ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือ "บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์" ที่ยกระดับการอยู่อาศัยด้วยนวัตกรรมอัจฉริยะ ทุกโครงการล้วนจัดสรรพื้นที่สีเขียวกว้างขวางที่พร้อมให้คุณสร้างสวนในฝันได้ตามที่ใจต้องการ</p>
<p>เริ่มต้นชีวิตใหม่ในบ้านที่มีพื้นที่สีเขียวร่มรื่นได้แล้ววันนี้กับ SC Asset สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดชมโครงการได้ที่สายด่วน โทร.<a href="tel:1749">1749</a></p>
<p> </p>

การเลือกปลูกต้นไม้รอบ ๆ บ้าน อาจสร้างความกังวลเรื่องระบบรากที่อาจทำลายโครงสร้างของบ้าน รวมถึงท่อระบายน้ำ และพื้นคอนกรีต ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงก่อให้เกิดความเสียหายที่มีค่าซ่อมแซมสูง แต่ยังมาพร้อมกับการจัดการที่ยุ่งยากในอนาคตอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงยังมีต้นไม้อีกหลายชนิดที่ให้ร่มเงาได้ดีเยี่ยม และสำคัญที่สุดคือเมื่อเติบโตเต็มที่ ระบบรากยังไม่ทำลายโครงสร้างบ้าน ซึ่งในบทความนี้ เรารวบรวมมาให้คนรักบ้านได้รู้จักถึง 6 ชนิดด้วยกัน
 

 
6 ต้นไม้ที่ปลูกใกล้บ้านได้ ให้ร่มเงา และรากไม่ทำลายโครงสร้างบ้าน
1. ต้นแคนา
ไม้ยืนต้นทรงกระบอกสูงที่โดดเด่นด้วยพุ่มใบและฝักสวยงาม ให้ร่มเงาได้ดีตลอดวัน ข้อดีสำคัญคือระบบรากไม่แผ่กว้างมากและไม่ทำลายโครงสร้างบ้าน จึงปลูกใกล้บ้านได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ดอกและยอดของต้นแคนายังสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนู ที่สำคัญต้นไม้ชนิดนี้ชอบแดด และเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยแทบทุกชนิด จึงทำให้การดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก
2. ต้นปีป
ต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงาม ให้ร่มเงาได้ดีตลอดทั้งปี สำหรับต้นปีบ สิ่งที่โดดเด่นคือรากไม่แข็งแรงพอที่จะทำลายโครงสร้างบ้านได้ อีกทั้งยังมีดอกที่ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ อยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังคือใบและดอกจะร่วงง่าย ดังนั้นจึงควรหมั่นเก็บกวาดอยู่เสมอเพื่อความเรียบร้อย
3. ต้นหูกระจงแคระ
ต้นหูกระจงแคระเป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาได้ดี มีใบสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ที่สำคัญมีระบบรากที่ไม่ลึกและไม่แผ่กว้าง จึงปลอดภัยต่อโครงสร้างบ้าน อีกทั้งยังสามารถตัดแต่งทรงพุ่มได้หลากหลายรูปแบบ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบจัดแต่งสวนให้สวยงามและเป็นระเบียบ
4. ต้นล่ำซำ
ไม้มงคลที่มีใบเขียวสดตลอดปีและให้ร่มเงาดี ลักษณะเด่นคือมีระบบรากเป็นแนวดิ่ง ไม่แผ่ออกในแนวราบ จึงปลอดภัยต่อโครงสร้างบ้าน แถมยังสามารถปลูกได้ในดินเกือบทุกชนิด ยกเว้นดินที่มีน้ำท่วมขัง อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่อยากปลูกบริเวณใกล้ตัวบ้าน ควรเว้นระยะห่างจากตัวบ้านประมาณ 4-5 เมตร เพราะเมื่อต้นไม้เติบโต นอกจากจะช่วยสร้างร่มเงาให้กับบริเวณบ้านได้แล้ว ยังเป็นการหลีกเลี่ยงที่พุ่มไม้ของต้นล่ำซำจะล้ำเข้ามาในบ้านมากจนเกินไปด้วย
5. ต้นซิลเวอร์โอ๊ก
ซิลเวอร์โอ๊กเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่มีความสูงประมาณ 18-35 เมตร แต่ถึงแม้จะมีขนาดใหญ่ รากของต้นไม้ประเภทนี้กลับไม่ทำลายฐานรากหรือท่อระบายน้ำ จึงได้รับความนิยมในการปลูกเป็นไม้ประดับหรือจัดเป็นแนวรั้ว อีกทั้งยังเหมาะอย่างยิ่งกับบ้านที่มีพื้นที่สวนกว้างขวาง
6. ต้นราชพฤกษ์ หรือ คูน
ต้นราชพฤกษ์มีดอกสีเหลืองทองสวยงามที่บานสะพรั่งในช่วงฤดูแล้ง มีข้อดีคือระบบรากที่ไม่แผ่กว้างมากและไม่รุกรานโครงสร้าง อีกทั้งยังทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดีและดูแลรักษาง่าย
 
เทคนิคการปลูกต้นไม้ให้ปลอดภัยต่อโครงสร้างบ้าน
นอกจากเลือกต้นไม้ที่ให้ร่มเงา รากไม่ชอนไช และปลอดภัยต่อโครงสร้างบ้านแล้ว การดูแลด้วยเทคนิคที่ถูกต้องก็เป็นอีกวิธีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้แก่บ้านของคุณ
เว้นระยะห่างที่เหมาะสม
ก่อนปลูก ควรคำนึงถึงขนาดของต้นไม้เมื่อโตเต็มที่ และเว้นระยะห่างจากตัวบ้าน ฐานราก หรือท่อระบายน้ำอย่างเหมาะสม โดยทั่วไปควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3-5 เมตร สำหรับต้นไม้ขนาดใหญ่ หรือ 1-2 เมตร สำหรับต้นไม้ขนาดเล็กถึงกลาง
ใช้แผ่นกั้นราก (Root Barrier)
การติดตั้งแผ่นกั้นรากลงไปในดินเป็นวิธีควบคุมทิศทางการเติบโตของราก ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้รากแทรกเข้าไปในโครงสร้างบ้านหรือท่อระบายน้ำได้
สร้างบ่อปลูกที่เหมาะสม
การสร้างบ่อปลูกที่มีขนาดและความลึกเหมาะสมจะช่วยให้รากเติบโตได้ดีโดยไม่รุกล้ำพื้นที่โดยรอบ ที่สำคัญคือควรออกแบบให้มีการระบายน้ำที่ดีและมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการเติบโต เพื่อไม่ให้รากขยายออกไปหาอาหารไกลเกินไป
จัดการระบบน้ำอย่างเหมาะสม
การให้น้ำในปริมาณที่พอเหมาะและสม่ำเสมอจะช่วยให้รากไม่ต้องขยายตัวเพื่อหาน้ำ หรือแทรกเข้าไปในท่อระบายน้ำหรือรอยแตกของโครงสร้าง
 
ตัดแต่งทรงพุ่มและรากอย่างสม่ำเสมอ
การตัดแต่งทรงพุ่มและรากอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง จะช่วยป้องกันไม่ให้ต้นไม้รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่ต้องการ และทำให้ทรงพุ่มสวยงามไปด้วยพร้อมกัน
 
ต้นไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงปลูกใกล้บ้าน
สำหรับต้นไม้ที่ไม่ควรปลูกใกล้บ้าน หลัก ๆ มีอยู่ 5 ชนิดด้วยกัน
 
1. ต้นไทร (รวมถึงไทรย้อย ไทรเกาหลี)
ต้นไทรมีระบบรากที่แผ่กว้างและแข็งแรงมาก จึงสามารถแทรกเข้าไปในรอยแตกของโครงสร้างได้ นอกจากนี้ รากของไทรยังสามารถยกพื้นคอนกรีตและทำลายท่อระบายน้ำได้ง่าย
 
2. ต้นมะขาม
แม้จะเป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาได้ดี แต่ต้นมะขามมีระบบรากที่แข็งแรง ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปในรอยแตกของฐานรากบ้านและทำให้โครงสร้างเสียหายได้ในระยะยาว
 
3. ต้นโพธิ์
รากของต้นโพธิ์สามารถเติบโตได้ยาวหลายเมตรและค้นหาแหล่งน้ำได้ไกล ดังนั้น แม้จะเป็นไม้มงคล แต่หากปลูกใกล้บ้าน รากก็อาจเข้าไปทำลายฐานและพื้นคอนกรีตได้อย่างรุนแรง
 
4. ต้นยูคาลิปตัส
รากของต้นยูคาลิปตัสทั้งแผ่กว้าง และดูดน้ำจากดินในปริมาณมาก ทำให้ดินแห้งและอาจส่งผลให้บ้านทรุดตัว นอกจากนี้ รากของต้นยูคาลิปตัสยังชอบชอนไชหาแหล่งน้ำและแทรกเข้าไปในท่อระบายน้ำจนเกิดการอุดตัน จึงไม่เหมาะสำหรับการปลูกใกล้บริเวณบ้าน
 
5. ต้นสน
ต้นสนบางชนิดมีระบบรากที่แผ่กว้างในแนวราบ ซึ่งสามารถดันและทำลายพื้นคอนกรีตได้เมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้ เข็มสนจากต้นสนที่ร่วงหล่นยังสามารถอุดตันรางน้ำและท่อ ก่อให้เกิดปัญหาการระบายน้ำในระยะยาวได้
 

 
สำหรับคนที่กำลังมองหาบ้านในฝันที่มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอสำหรับจัดสวนและปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา ขอแนะนำบ้านโมเดิร์น 2 ชั้นจาก SC Asset ที่มีการออกแบบพื้นที่ภายนอกอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นโครงการ "เวนิว ไอดี" ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือ "บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์" ที่ยกระดับการอยู่อาศัยด้วยนวัตกรรมอัจฉริยะ ทุกโครงการล้วนจัดสรรพื้นที่สีเขียวกว้างขวางที่พร้อมให้คุณสร้างสวนในฝันได้ตามที่ใจต้องการ
เริ่มต้นชีวิตใหม่ในบ้านที่มีพื้นที่สีเขียวร่มรื่นได้แล้ววันนี้กับ SC Asset สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดชมโครงการได้ที่สายด่วน โทร.1749
 

สำรวจ 6 ต้นไม้ที่ปลูกใกล้บ้านได้อย่างปลอดภัย พร้อมแนะนำเทคนิคการปลูกให้รากไม่ชอนไช เพื่อป้องกันปัญหาการทำลายโครงสร้างบ้านในระยะยาว

6 ต้นไม้ให้ร่มเงา ปลูกสบายใจ รากไม่ทําลายโครงสร้างบ้าน

6 ต้นไม้ที่ปลูกใกล้บ้านได้ ให้ร่มเงา ไร้กังวลเรื่องรากชอนไช

<p>การประเมินมูลค่าบ้านและที่ดินเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่ผู้ซื้อและเจ้าของบ้าน หรือนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นข้อมูลที่จะช่วยให้สามารถตัดสินใจเรื่องการซื้อ ขาย หรือขอสินเชื่อได้อย่างแม่นยำและสอดคล้องกับมูลค่าตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การเรียนรู้ “วิธีประเมินราคาบ้านพร้อมที่ดิน” โดยอาศัยข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐและหลักเกณฑ์ที่มีการกำหนดไว้ จะช่วยให้สามารถประเมินมูลค่าเบื้องต้นด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ</p>
<p> </p>
<h2><strong>ทำไมต้องรู้ราคาประเมินบ้าน ส่งผลอย่างไรต่อการซื้อขาย ?</strong></h2>
<p>การประเมินราคาบ้านไม่ใช่แค่เพื่อให้ทราบถึงมูลค่าทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการวางแผนการเงิน การลงทุน ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีต่อไปนี้</p>
<ul>
<li><strong>เพื่อการซื้อขายที่เป็นธรรม :</strong>การประเมินราคาบ้านช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายรู้ราคาตลาดที่เหมาะสม ทั้งยังช่วยป้องกันการซื้อในราคาที่สูงเกินจริง หรือขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าตลาด</li>
<li><strong>ใช้ประกอบการขอสินเชื่อจากธนาคาร :</strong>ธนาคาร หรือสถาบันการเงินจะใช้ราคาประเมินในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ หากราคาประเมินต่ำกว่าราคาซื้อขายจริง อาจส่งผลต่อวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติ</li>
<li><strong>สามารถนำไปประเมินการเสียภาษี หรือการโอนกรรมสิทธิ์ :</strong>การประเมินราคาบ้านและที่ดินช่วยให้สามารถคำนวณภาษีที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน, ภาษีธุรกิจเฉพาะ หรือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา</li>
<li><strong>วางแผนมรดก หรือแบ่งทรัพย์สิน :</strong>ในกรณีที่ต้องการแบ่งมรดก หรือทรัพย์สินให้กับทายาท ราคาประเมินจะเป็นข้อมูลสำคัญในการจัดสรรทรัพย์สินให้เท่าเทียมกันและลดข้อขัดแย้งภายในครอบครัว</li>
</ul>
<p> </p>
<h2><strong>วิธีประเมินราคาบ้านพร้อมที่ดิน</strong></h2>
<h3><strong>1. การประเมินราคาที่ดิน</strong></h3>
<p>ราคาที่ดินสามารถตรวจสอบได้จากข้อมูลของกรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นราคาประเมินที่ดินกลาง โดยมีขั้นตอนดังนี้</p>
<ul>
<li>เตรียมข้อมูลโฉนดที่ดิน ได้แก่ เลขที่โฉนด เลขหน้าสำรวจ หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด</li>
<li>เข้าใช้งาน<a href="https://assessprice.treasury.go.th/">ระบบเผยแพร่ราคาประเมินทรัพย์สิน</a></li>
<li>ค้นหาราคาประเมินทรัพย์สินต่อตารางเมตรในแต่ละพื้นที่ โดยสามารถตรวจสอบได้จากข้อมูล ดังนี้</li>
<ul>
<li>ที่ดิน (เลขที่โฉนด)</li>
<li>ที่ดิน (เลขที่ดิน)</li>
<li>ที่ดิน (น.ส. 3 ก.)</li>
<li>สิ่งปลูกสร้าง</li>
<li>ห้องชุด</li>
</ul>
</ul>
<p>กรณีไม่มีโฉนดที่ดิน สามารถใช้บริการระบบ<a href="https://landsmaps.dol.go.th/">LandsMaps</a>ของกรมที่ดิน เพื่อค้นหาพิกัดและราคาประเมินคร่าว ๆ ได้เช่นกัน</p>
<h3><strong>2. การประเมินราคาบ้าน หรือสิ่งปลูกสร้าง</strong></h3>
<p>ราคาสิ่งปลูกสร้างจะอิงตามมาตรฐานของกรมที่ดิน ซึ่งจะมีอัตราประเมินต่อตารางเมตรตามประเภทของอาคารในแต่ละพื้นที่ เช่น</p>
<ul>
<li><strong>บ้านไม้</strong>: ประมาณ 4,000 - 6,000 บาท/ตร.ม.</li>
<li><strong>บ้านปูน 2 ชั้น</strong>: ประมาณ 6,000 - 9,000 บาท/ตร.ม.</li>
<li><strong>อาคารพาณิชย์ </strong>: ประมาณ 8,000 - 12,000 บาท/ตร.ม.</li>
</ul>
<p>จากนั้นคำนวณพื้นที่ใช้สอย โดยนำพื้นที่บ้าน (เช่น 150 ตร.ม.) คูณด้วยราคาต่อ ตร.ม. เพื่อให้ได้ราคารวมของบ้าน เช่น 150 ตร.ม. x 6,500 บาท = 975,000 บาท</p>
<p>นอกจากการประเมินมูลค่าจากพื้นที่ใช้สอยและวัสดุก่อสร้างแล้ว ยังต้องคำนึงถึงค่าเสื่อมสภาพที่ลดลงตามอายุการใช้งานของบ้าน โดยทั่วไปกรมที่ดินจะใช้เกณฑ์อัตราเสื่อมเฉลี่ยประมาณ 1.5% - 2% ต่อปี ขึ้นอยู่กับประเภทอาคารและสภาพของบ้าน ซึ่งการคำนวณค่าเสื่อมนี้จะใช้ในกรณีประเมินราคากับหน่วยงานภาครัฐ หรือใช้ประกอบการขอสินเชื่อจากธนาคาร เพื่อสะท้อนมูลค่าปัจจุบันของสิ่งปลูกสร้างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น</p>
<h3><strong>3. รวมราคาบ้านและที่ดิน</strong></h3>
<p>เมื่อได้ราคาประเมินของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้ว ให้นำทั้งสองส่วนมารวมกันเพื่อคำนวณมูลค่าทรัพย์สินรวม เช่น</p>
<ul>
<li><strong>ราคาที่ดิน</strong>: 50 ตร.วา x 20,000 บาท = 1,000,000 บาท</li>
<li><strong>ราคาบ้าน</strong>: 975,000 บาท</li>
</ul>
<p>จากราคาประเมินบ้านและที่ดินด้านบน จะได้เป็น 1,000,000 + 975,000 = 1,975,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับการเจรจาต่อรอง วางแผนสินเชื่อ หรือประกอบการวางแผนภาษีและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายบ้านและที่ดินได้</p>
<p> </p>
<p><img src="https://www.scasset.com/stocks/blog_list/o0x0/cn/ws/cnwspabmjkm/Apr25_Blog_1_ปัจจัยที่ส่งผลต่อการประเมินราคาบ้านพร้อมที่ดิน.jpg" alt="ปัจจัยที่ส่งผลต่อการประเมินราคาบ้านพร้อมที่ดิน" /></p>
<p> </p>
<h2><strong>ปัจจัยอื่นที่มีผลต่อราคาบ้าน</strong></h2>
<p>แม้จะมีราคาประเมินกลางจากภาครัฐ แต่ราคาจริงในท้องตลาดอาจสูงหรือต่ำกว่านั้น เพราะยังจะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น</p>
<ul>
<li><strong>ทำเล</strong>: บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ถนนใหญ่ ทางด่วน รถไฟฟ้า หรือสถานที่สำคัญ ย่อมมีราคาสูงขึ้น เนื่องจากความสะดวกในการเดินทางและความต้องการของตลาดในทำเลดังกล่าว</li>
<li><strong>สภาพแวดล้อม</strong>: พื้นที่ที่ปลอดภัย บรรยากาศเงียบสงบ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่มีปัญหาน้ำท่วม หรือมลภาวะ จะช่วยส่งเสริมมูลค่าของบ้านให้สูงขึ้นและน่าอยู่อาศัยยิ่งขึ้น</li>
<li><strong>สภาพของบ้าน</strong>:บ้านใหม่ หรือบ้านที่ได้รับการรีโนเวตอย่างดี จะมีราคาสูงกว่าบ้านที่มีสภาพทรุดโทรม หรือไม่ได้รับการดูแล เพราะผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการซ่อมแซม</li>
<li><strong>สิ่งอำนวยความสะดวก</strong>:ระบบสาธารณูปโภคครบครัน เช่น ไฟฟ้า ประปา อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และความใกล้เคียงกับสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า หรือสถานีขนส่งมวลชน ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่บ้าน</li>
<li><strong>แนวโน้มการพัฒนาในอนาคต</strong>:ทำเลที่มีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในอนาคต เช่น รถไฟฟ้าสายใหม่ หรือศูนย์กลางพาณิชยกรรม จะมีแนวโน้มราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้น เพราะมีศักยภาพในการพัฒนาและดึงดูดการลงทุน</li>
</ul>
<p> </p>
<p>การประเมินราคาบ้านพร้อมที่ดินเป็นสิ่งที่เจ้าของบ้าน หรือผู้สนใจลงทุนควรรู้ เพราะจะช่วยให้สามารถวางแผนการเงินและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ แต่หากคุณกำลังมองหาโครงการบ้านที่ออกแบบครบทุกด้าน ทั้งคุณภาพ ทำเล พร้อมสร้างมูลค่าที่เติบโตได้ในอนาคต ขอแนะนำ<a href="https://www.scasset.com/th/house/" target="_self">บ้านโครงการ</a>คุณภาพจาก SC Asset ในหลากหลายทำเล ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ พร้อมทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล</p>
<p>กรอกฟอร์มบนเว็บไซต์เพื่อรับสิทธิพิเศษได้เลยวันนี้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.<a href="tel: 1749">1749</a></p>
<p> </p>

การประเมินมูลค่าบ้านและที่ดินเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่ผู้ซื้อและเจ้าของบ้าน หรือนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไม่ควรมองข้าม เพราะเป็นข้อมูลที่จะช่วยให้สามารถตัดสินใจเรื่องการซื้อ ขาย หรือขอสินเชื่อได้อย่างแม่นยำและสอดคล้องกับมูลค่าตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การเรียนรู้ “วิธีประเมินราคาบ้านพร้อมที่ดิน” โดยอาศัยข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐและหลักเกณฑ์ที่มีการกำหนดไว้ จะช่วยให้สามารถประเมินมูลค่าเบื้องต้นด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
 
ทำไมต้องรู้ราคาประเมินบ้าน ส่งผลอย่างไรต่อการซื้อขาย ?
การประเมินราคาบ้านไม่ใช่แค่เพื่อให้ทราบถึงมูลค่าทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการวางแผนการเงิน การลงทุน ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีต่อไปนี้

เพื่อการซื้อขายที่เป็นธรรม :การประเมินราคาบ้านช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายรู้ราคาตลาดที่เหมาะสม ทั้งยังช่วยป้องกันการซื้อในราคาที่สูงเกินจริง หรือขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าตลาด
ใช้ประกอบการขอสินเชื่อจากธนาคาร :ธนาคาร หรือสถาบันการเงินจะใช้ราคาประเมินในการกำหนดวงเงินสินเชื่อ หากราคาประเมินต่ำกว่าราคาซื้อขายจริง อาจส่งผลต่อวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติ
สามารถนำไปประเมินการเสียภาษี หรือการโอนกรรมสิทธิ์ :การประเมินราคาบ้านและที่ดินช่วยให้สามารถคำนวณภาษีที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน, ภาษีธุรกิจเฉพาะ หรือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
วางแผนมรดก หรือแบ่งทรัพย์สิน :ในกรณีที่ต้องการแบ่งมรดก หรือทรัพย์สินให้กับทายาท ราคาประเมินจะเป็นข้อมูลสำคัญในการจัดสรรทรัพย์สินให้เท่าเทียมกันและลดข้อขัดแย้งภายในครอบครัว

 
วิธีประเมินราคาบ้านพร้อมที่ดิน
1. การประเมินราคาที่ดิน
ราคาที่ดินสามารถตรวจสอบได้จากข้อมูลของกรมธนารักษ์ ซึ่งเป็นราคาประเมินที่ดินกลาง โดยมีขั้นตอนดังนี้

เตรียมข้อมูลโฉนดที่ดิน ได้แก่ เลขที่โฉนด เลขหน้าสำรวจ หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด
เข้าใช้งานระบบเผยแพร่ราคาประเมินทรัพย์สิน
ค้นหาราคาประเมินทรัพย์สินต่อตารางเมตรในแต่ละพื้นที่ โดยสามารถตรวจสอบได้จากข้อมูล ดังนี้

ที่ดิน (เลขที่โฉนด)
ที่ดิน (เลขที่ดิน)
ที่ดิน (น.ส. 3 ก.)
สิ่งปลูกสร้าง
ห้องชุด


กรณีไม่มีโฉนดที่ดิน สามารถใช้บริการระบบLandsMapsของกรมที่ดิน เพื่อค้นหาพิกัดและราคาประเมินคร่าว ๆ ได้เช่นกัน
2. การประเมินราคาบ้าน หรือสิ่งปลูกสร้าง
ราคาสิ่งปลูกสร้างจะอิงตามมาตรฐานของกรมที่ดิน ซึ่งจะมีอัตราประเมินต่อตารางเมตรตามประเภทของอาคารในแต่ละพื้นที่ เช่น

บ้านไม้: ประมาณ 4,000 - 6,000 บาท/ตร.ม.
บ้านปูน 2 ชั้น: ประมาณ 6,000 - 9,000 บาท/ตร.ม.
อาคารพาณิชย์ : ประมาณ 8,000 - 12,000 บาท/ตร.ม.

จากนั้นคำนวณพื้นที่ใช้สอย โดยนำพื้นที่บ้าน (เช่น 150 ตร.ม.) คูณด้วยราคาต่อ ตร.ม. เพื่อให้ได้ราคารวมของบ้าน เช่น 150 ตร.ม. x 6,500 บาท = 975,000 บาท
นอกจากการประเมินมูลค่าจากพื้นที่ใช้สอยและวัสดุก่อสร้างแล้ว ยังต้องคำนึงถึงค่าเสื่อมสภาพที่ลดลงตามอายุการใช้งานของบ้าน โดยทั่วไปกรมที่ดินจะใช้เกณฑ์อัตราเสื่อมเฉลี่ยประมาณ 1.5% - 2% ต่อปี ขึ้นอยู่กับประเภทอาคารและสภาพของบ้าน ซึ่งการคำนวณค่าเสื่อมนี้จะใช้ในกรณีประเมินราคากับหน่วยงานภาครัฐ หรือใช้ประกอบการขอสินเชื่อจากธนาคาร เพื่อสะท้อนมูลค่าปัจจุบันของสิ่งปลูกสร้างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
3. รวมราคาบ้านและที่ดิน
เมื่อได้ราคาประเมินของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้ว ให้นำทั้งสองส่วนมารวมกันเพื่อคำนวณมูลค่าทรัพย์สินรวม เช่น

ราคาที่ดิน: 50 ตร.วา x 20,000 บาท = 1,000,000 บาท
ราคาบ้าน: 975,000 บาท

จากราคาประเมินบ้านและที่ดินด้านบน จะได้เป็น 1,000,000 + 975,000 = 1,975,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับการเจรจาต่อรอง วางแผนสินเชื่อ หรือประกอบการวางแผนภาษีและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายบ้านและที่ดินได้
 

 
ปัจจัยอื่นที่มีผลต่อราคาบ้าน
แม้จะมีราคาประเมินกลางจากภาครัฐ แต่ราคาจริงในท้องตลาดอาจสูงหรือต่ำกว่านั้น เพราะยังจะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น

ทำเล: บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ถนนใหญ่ ทางด่วน รถไฟฟ้า หรือสถานที่สำคัญ ย่อมมีราคาสูงขึ้น เนื่องจากความสะดวกในการเดินทางและความต้องการของตลาดในทำเลดังกล่าว
สภาพแวดล้อม: พื้นที่ที่ปลอดภัย บรรยากาศเงียบสงบ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่มีปัญหาน้ำท่วม หรือมลภาวะ จะช่วยส่งเสริมมูลค่าของบ้านให้สูงขึ้นและน่าอยู่อาศัยยิ่งขึ้น
สภาพของบ้าน:บ้านใหม่ หรือบ้านที่ได้รับการรีโนเวตอย่างดี จะมีราคาสูงกว่าบ้านที่มีสภาพทรุดโทรม หรือไม่ได้รับการดูแล เพราะผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการซ่อมแซม
สิ่งอำนวยความสะดวก:ระบบสาธารณูปโภคครบครัน เช่น ไฟฟ้า ประปา อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และความใกล้เคียงกับสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า หรือสถานีขนส่งมวลชน ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่บ้าน
แนวโน้มการพัฒนาในอนาคต:ทำเลที่มีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในอนาคต เช่น รถไฟฟ้าสายใหม่ หรือศูนย์กลางพาณิชยกรรม จะมีแนวโน้มราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้น เพราะมีศักยภาพในการพัฒนาและดึงดูดการลงทุน

 
การประเมินราคาบ้านพร้อมที่ดินเป็นสิ่งที่เจ้าของบ้าน หรือผู้สนใจลงทุนควรรู้ เพราะจะช่วยให้สามารถวางแผนการเงินและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ แต่หากคุณกำลังมองหาโครงการบ้านที่ออกแบบครบทุกด้าน ทั้งคุณภาพ ทำเล พร้อมสร้างมูลค่าที่เติบโตได้ในอนาคต ขอแนะนำบ้านโครงการคุณภาพจาก SC Asset ในหลากหลายทำเล ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ พร้อมทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล
กรอกฟอร์มบนเว็บไซต์เพื่อรับสิทธิพิเศษได้เลยวันนี้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1749
 

ศึกษาวิธีประเมินราคาบ้านพร้อมที่ดินที่ใช้ได้จริง เพื่อให้สามารถตัดสินใจซื้อ-ขาย หรือขอสินเชื่อให้สอดคล้องกับราคาตลาด ไม่ขาดทุน หรือต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็น

รู้ก่อนตัดสินใจซื้อ ! วิธีประเมินราคาบ้านเบื้องต้น

คู่มือประเมินบ้านก่อนตัดสินใจซื้อ-ขาย ฉบับเข้าใจง่าย

<p><img src="https://www.scasset.com/stocks/blog_list/o0x0/c6/ei/c6eivctbx2p/Apr5_ความสำคัญของมิเตอร์ไฟฟ้า.png" alt="ความสำคัญของมิเตอร์ไฟฟ้าและการเลือกขนาดที่เหมาะสม" /></p>
<p> </p>
<p>การวางแผนระบบไฟฟ้าภายในบ้าน หลายคนอาจมองข้ามเรื่องสำคัญอย่าง "มิเตอร์ไฟฟ้า" ไป แต่รู้หรือไม่ว่า สิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญของการจ่ายพลังงานไฟฟ้าภายในบ้านทั้งหมด อีกทั้งการเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยให้การใช้ไฟฟ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับมิเตอร์ไฟฟ้า ประเภท ขนาด และวิธีเลือกให้เหมาะกับการใช้งานในบ้านของคุณ</p>
<p> </p>
<p> </p>
<h2><strong>1. มิเตอร์ไฟฟ้าคืออะไร ทำไมต้องให้ความสำคัญ ?</strong></h2>
<p>มิเตอร์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์วัดปริมาณการใช้ไฟฟ้าในบ้าน ซึ่งการไฟฟ้าใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าไฟรายเดือน เปรียบเสมือนเป็นทางเข้าของระบบไฟฟ้าทั้งหมดในบ้าน การเลือกขนาดมิเตอร์ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย</p>
<p>โดยเฉพาะคนที่กำลังจะซื้อบ้านใหม่หรือกำลังสร้างบ้าน ควรให้ความสำคัญกับระบบมิเตอร์ไฟฟ้าเป็นอันดับต้น ๆ ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้</p>
<ul>
<li><strong>ขนาดของมิเตอร์ไฟฟ้าบ่งบอกถึงปริมาณกระแสไฟฟ้าสูงสุด</strong>ที่สามารถรองรับได้ในเวลาเดียวกัน หากเลือกขนาดที่เล็กเกินไป อาจทำให้เบรกเกอร์ตัดวงจรไฟฟ้าเมื่อใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายเครื่องพร้อมกัน</li>
<li><strong>มิเตอร์ที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันปัญหาไฟตก ไฟกระชาก หรือไฟฟ้าลัดวงจร</strong>ในบ้าน ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาแพง รวมถึงอาจเป็นสาเหตุของการเกิดอัคคีภัยได้</li>
<li><strong>การเลือกขนาดมิเตอร์ที่เหมาะสมช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว</strong>และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้า เนื่องจากการไฟฟ้าคิดค่าบริการรายเดือนตามขนาดของมิเตอร์</li>
<li><strong>คนซื้อบ้านใหม่ควรพิจารณาระบบไฟฟ้าและขนาดมิเตอร์ที่ติดตั้งมากับบ้าน</strong>เพราะมีผลต่อค่าใช้จ่ายรายเดือนและการต่อเติมในอนาคต โดยเฉพาะหากมีแผนจะติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติม</li>
</ul>
<p> </p>
<h2><strong>2. ประเภทของมิเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านพักอาศัย</strong></h2>
<p>ในประเทศไทย มิเตอร์ไฟฟ้าสำหรับที่พักอาศัยมีหลากหลายประเภท ดังนี้</p>
<ul>
<li><strong>มิเตอร์แบบอนาล็อก (แบบเดิม)</strong>- มีลักษณะเป็นจานหมุน มักพบในบ้านที่สร้างมานานแล้ว การอ่านค่าจะต้องดูที่ตัวเลขบนหน้าปัด</li>
<li><strong>มิเตอร์แบบดิจิทัล</strong>- แสดงตัวเลขและมีความแม่นยำสูง ปัจจุบันนิยมติดตั้งในบ้านที่สร้างใหม่</li>
<li><strong>สมาร์ตมิเตอร์</strong>- มิเตอร์อัจฉริยะที่สามารถติดตามการใช้ไฟฟ้าได้แบบเรียลไทม์ มักพบในบ้านระดับพรีเมียม</li>
<li><strong>มิเตอร์แบบ 1 เฟส</strong>- สำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไป รองรับการใช้ไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนทั่วไป</li>
<li><strong>มิเตอร์แบบ 3 เฟส</strong>- สำหรับบ้านขนาดใหญ่หรือมีการใช้ไฟฟ้าสูงมาก เช่น บ้านที่มีลิฟต์ สระว่ายน้ำ หรือระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ รวมถึงอาคารและโรงงานต่าง ๆ</li>
</ul>
<p> </p>
<h2><strong>3. ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าในประเทศไทยใช้ไฟบ้านกี่แอมป์จึงเหมาะสม ?</strong></h2>
<p>โครงการบ้านจัดสรรมักเลือกขนาดมิเตอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของบ้าน แต่ก็ควรตรวจสอบว่ารองรับการใช้งานในอนาคตได้เพียงพอหรือไม่</p>
<p>โดยขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมีดังนี้</p>
<p> </p>
<table style="height: 172px;" width="710">
<tbody>
<tr>
<td style="width: 135.922px;">
<p><strong>ขนาดมิเตอร์</strong></p>
</td>
<td style="width: 170.289px;">
<p><strong>กำลังไฟฟ้า (แอมป์)</strong></p>
</td>
<td style="width: 402.789px;">
<p><strong>การใช้งานที่เหมาะสม</strong></p>
</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 135.922px;">
<p><span style="font-weight: 400;">5(15) 1 เฟส</span></p>
</td>
<td style="width: 170.289px;">
<p><span style="font-weight: 400;">ไม่เกิน 10 แอมป์</span></p>
</td>
<td style="width: 402.789px;">
<p><span style="font-weight: 400;">บ้านขนาดเล็ก หอพัก ที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มาก</span></p>
</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 135.922px;">
<p><span style="font-weight: 400;">15(45) 1 เฟส</span></p>
</td>
<td style="width: 170.289px;">
<p><span style="font-weight: 400;">11-30 แอมป์</span></p>
</td>
<td style="width: 402.789px;">
<p><span style="font-weight: 400;">บ้านขนาดกลาง คอนโด (ขนาดที่ใช้กันทั่วไป)</span></p>
</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 135.922px;">
<p><span style="font-weight: 400;">30(100) 1 เฟส</span></p>
</td>
<td style="width: 170.289px;">
<p><span style="font-weight: 400;">31-75 แอมป์</span></p>
</td>
<td style="width: 402.789px;">
<p><span style="font-weight: 400;">บ้านขนาดใหญ่ที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด</span></p>
</td>
</tr>
<tr>
<td style="width: 135.922px;">
<p><span style="font-weight: 400;">50(150) 1 เฟส</span></p>
</td>
<td style="width: 170.289px;">
<p><span style="font-weight: 400;">76-100 แอมป์</span></p>
</td>
<td style="width: 402.789px;">
<p><span style="font-weight: 400;">บ้านขนาดใหญ่หรืออาคารสำนักงาน</span></p>
</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<p><br /><br /></p>
<h2><strong>4. วิธีคำนวณขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า เพื่อเลือกแอมป์ที่เหมาะกับไฟบ้านของคุณ</strong></h2>
<p>การคำนวณหาขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่เหมาะสมทำได้ดังนี้</p>
<ol>
<ol>
<li><strong>นำจำนวนวัตต์ของเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดที่อาจใช้พร้อมกันมารวมกัน</strong>โดยดูจากฉลากกำกับหรือคู่มือ เช่น</li>
<ul style="list-style-type: circle;">
<li>เครื่องปรับอากาศ 12,000 BTU ใช้พลังงานประมาณ 1,200-1,500 วัตต์</li>
<li>เครื่องทำน้ำอุ่น ใช้พลังงานประมาณ 3,500-4,500 วัตต์</li>
<li>ตู้เย็น ใช้พลังงานประมาณ 500-700 วัตต์</li>
</ul>
<li><strong>หารด้วยแรงดันไฟฟ้ามาตรฐาน (220 โวลต์)</strong>เพื่อหาค่ากระแสไฟฟ้าเป็นแอมป์ โดยใช้สูตร
<p>         กระแสไฟฟ้า (แอมป์) = กำลังไฟฟ้า (วัตต์) ÷ แรงดันไฟฟ้า (โวลต์)</p>
</li>
<li><strong>บวกเพิ่มอีก 20-30% เพื่อสำรองไว้สำหรับการใช้งานในอนาคต</strong></li>
</ol>
</ol>
<p> </p>
<p> </p>
<h3><strong>ตัวอย่างการคำนวณ</strong></h3>
<p>บ้านที่มีแอร์ 2 เครื่อง (2,200 วัตต์/เครื่อง) เครื่องซักผ้า (1,500 วัตต์) ตู้เย็น (600 วัตต์) และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ รวมปริมาณการใช้ไฟแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 8,000 วัตต์</p>
<p><strong>วิธีคำนวณ</strong></p>
<ol>
<li>นำกำลังไฟฟ้าทั้งหมดมารวมกัน = 8,000 วัตต์</li>
<li>คำนวณหาค่ากระแสไฟฟ้า = กำลังไฟฟ้า (วัตต์) ÷ แรงดันไฟฟ้า (โวลต์)</li>
= 8,000 วัตต์ ÷ 220 โวลต์ = 36.36 แอมป์
<li>เผื่อการใช้งานในอนาคตอีก 20% = 36.36 แอมป์ × 1.2 = 43.64 แอมป์</li>
</ol>
<p>ดังนั้นควรเลือกใช้มิเตอร์ขนาด 50 แอมป์ เพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างเพียงพอและมีสำรองสำหรับอนาคต</p>
<p> </p>
<p><img src="https://www.scasset.com/stocks/blog_list/o0x0/kq/3h/kq3hcab1lnz/Apr25_Blog_5_การเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่เหมาะช่วยประหยัดค่าไฟ_และป้องกันปัญหาไฟฟ้าขัดข้อง.jpg" alt="การเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่เหมาะช่วยประหยัดค่าไฟ และป้องกันปัญหาไฟฟ้าขัดข้อง" /></p>
<p> </p>
<h2><strong>5. ประโยชน์ของการเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่เหมาะสม</strong></h2>
<ul>
<li><strong>ป้องกันปัญหาไฟฟ้าขัดข้อง</strong>เมื่อเปิดใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายเครื่องพร้อมกัน มิเตอร์ที่มีขนาดเหมาะสมจะไม่ทำให้เบรกเกอร์ตัดการทำงาน</li>
<li><strong>ประหยัดค่าบริการรายเดือน</strong>การไฟฟ้าเรียกเก็บตามขนาดมิเตอร์ แต่หากขนาดมิเตอร์ใหญ่เกินความจำเป็นจะทำให้คุณต้องเสียค่าบริการรายเดือนที่สูงขึ้น</li>
<li><strong>ลดความเสี่ยงอันตราย</strong>จากไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟไหม้ เนื่องจากมิเตอร์ขนาดที่เหมาะสมจะมีระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพ</li>
<li><strong>รองรับการขยายตัวในอนาคต</strong>เช่น หากต้องการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์หรือซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติม</li>
<li><strong>ยืดอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้า</strong>ในบ้าน เนื่องจากมิเตอร์ที่เหมาะสมช่วยให้กระแสไฟฟ้ามีความเสถียร</li>
</ul>
<h2><strong>6. สิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนซื้อบ้าน: เรื่องระบบไฟฟ้า</strong></h2>
<ul>
<li><strong>ตำแหน่งและขนาดของมิเตอร์ไฟฟ้า</strong>ควรติดตั้งในตำแหน่งที่เข้าถึงง่าย และมีขนาดเหมาะสมกับขนาดบ้าน</li>
<li><strong>ระบบสายดิน</strong>บ้านต้องมีระบบสายดินที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยจากไฟฟ้ารั่ว</li>
<li><strong>แผงควบคุมไฟฟ้า</strong>ควรมีคุณภาพดี มีเบรกเกอร์ครบถ้วนตามมาตรฐาน และรองรับการขยายการใช้งานในอนาคต</li>
<li><strong>จำนวนและตำแหน่งเต้ารับ</strong>ควรมีเพียงพอและกระจายทั่วบ้าน รวมถึงจุดติดตั้งเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่น</li>
<li><strong>ระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ</strong>โครงการบ้านระดับพรีเมียมอาจมีระบบควบคุมการใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ซึ่งช่วยให้ผู้อยู่อาศัยใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ</li>
</ul>
<p>เมื่อเข้าใจเรื่องมิเตอร์ไฟฟ้าและขนาดที่เหมาะสมแล้ว ก็ถึงเวลาเลือกบ้านที่มีระบบไฟฟ้าที่ติดตั้งได้ตามมาตรฐานเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ SC Asset มีโครงการบ้านคุณภาพที่ออกแบบระบบไฟฟ้าอย่างพิถีพิถัน เพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างปลอดภัย พร้อมทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล<a href="https://www.scasset.com/th/house/">ซื้อบ้านในกรุงเทพ</a>ฯ วันนี้ รับข้อเสนอพิเศษสำหรับคุณ</p>
<p>กรอกฟอร์มบนเว็บไซต์หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.<a href="tel: 1749">1749</a>เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยแนะนำบ้านที่ใช่และเหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์</p>
<p> </p>


 
การวางแผนระบบไฟฟ้าภายในบ้าน หลายคนอาจมองข้ามเรื่องสำคัญอย่าง "มิเตอร์ไฟฟ้า" ไป แต่รู้หรือไม่ว่า สิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญของการจ่ายพลังงานไฟฟ้าภายในบ้านทั้งหมด อีกทั้งการเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยให้การใช้ไฟฟ้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวอีกด้วย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับมิเตอร์ไฟฟ้า ประเภท ขนาด และวิธีเลือกให้เหมาะกับการใช้งานในบ้านของคุณ
 
 
1. มิเตอร์ไฟฟ้าคืออะไร ทำไมต้องให้ความสำคัญ ?
มิเตอร์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์วัดปริมาณการใช้ไฟฟ้าในบ้าน ซึ่งการไฟฟ้าใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณค่าไฟรายเดือน เปรียบเสมือนเป็นทางเข้าของระบบไฟฟ้าทั้งหมดในบ้าน การเลือกขนาดมิเตอร์ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย
โดยเฉพาะคนที่กำลังจะซื้อบ้านใหม่หรือกำลังสร้างบ้าน ควรให้ความสำคัญกับระบบมิเตอร์ไฟฟ้าเป็นอันดับต้น ๆ ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้

ขนาดของมิเตอร์ไฟฟ้าบ่งบอกถึงปริมาณกระแสไฟฟ้าสูงสุดที่สามารถรองรับได้ในเวลาเดียวกัน หากเลือกขนาดที่เล็กเกินไป อาจทำให้เบรกเกอร์ตัดวงจรไฟฟ้าเมื่อใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายเครื่องพร้อมกัน
มิเตอร์ที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันปัญหาไฟตก ไฟกระชาก หรือไฟฟ้าลัดวงจรในบ้าน ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาแพง รวมถึงอาจเป็นสาเหตุของการเกิดอัคคีภัยได้
การเลือกขนาดมิเตอร์ที่เหมาะสมช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวและเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้า เนื่องจากการไฟฟ้าคิดค่าบริการรายเดือนตามขนาดของมิเตอร์
คนซื้อบ้านใหม่ควรพิจารณาระบบไฟฟ้าและขนาดมิเตอร์ที่ติดตั้งมากับบ้านเพราะมีผลต่อค่าใช้จ่ายรายเดือนและการต่อเติมในอนาคต โดยเฉพาะหากมีแผนจะติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติม

 
2. ประเภทของมิเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านพักอาศัย
ในประเทศไทย มิเตอร์ไฟฟ้าสำหรับที่พักอาศัยมีหลากหลายประเภท ดังนี้

มิเตอร์แบบอนาล็อก (แบบเดิม)- มีลักษณะเป็นจานหมุน มักพบในบ้านที่สร้างมานานแล้ว การอ่านค่าจะต้องดูที่ตัวเลขบนหน้าปัด
มิเตอร์แบบดิจิทัล- แสดงตัวเลขและมีความแม่นยำสูง ปัจจุบันนิยมติดตั้งในบ้านที่สร้างใหม่
สมาร์ตมิเตอร์- มิเตอร์อัจฉริยะที่สามารถติดตามการใช้ไฟฟ้าได้แบบเรียลไทม์ มักพบในบ้านระดับพรีเมียม
มิเตอร์แบบ 1 เฟส- สำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไป รองรับการใช้ไฟฟ้าสำหรับครัวเรือนทั่วไป
มิเตอร์แบบ 3 เฟส- สำหรับบ้านขนาดใหญ่หรือมีการใช้ไฟฟ้าสูงมาก เช่น บ้านที่มีลิฟต์ สระว่ายน้ำ หรือระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ รวมถึงอาคารและโรงงานต่าง ๆ

 
3. ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าในประเทศไทยใช้ไฟบ้านกี่แอมป์จึงเหมาะสม ?
โครงการบ้านจัดสรรมักเลือกขนาดมิเตอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของบ้าน แต่ก็ควรตรวจสอบว่ารองรับการใช้งานในอนาคตได้เพียงพอหรือไม่
โดยขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัยในประเทศไทยมีดังนี้
 




ขนาดมิเตอร์


กำลังไฟฟ้า (แอมป์)


การใช้งานที่เหมาะสม




5(15) 1 เฟส


ไม่เกิน 10 แอมป์


บ้านขนาดเล็ก หอพัก ที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่มาก




15(45) 1 เฟส


11-30 แอมป์


บ้านขนาดกลาง คอนโด (ขนาดที่ใช้กันทั่วไป)




30(100) 1 เฟส


31-75 แอมป์


บ้านขนาดใหญ่ที่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหลายชนิด




50(150) 1 เฟส


76-100 แอมป์


บ้านขนาดใหญ่หรืออาคารสำนักงาน





4. วิธีคำนวณขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า เพื่อเลือกแอมป์ที่เหมาะกับไฟบ้านของคุณ
การคำนวณหาขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่เหมาะสมทำได้ดังนี้


นำจำนวนวัตต์ของเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดที่อาจใช้พร้อมกันมารวมกันโดยดูจากฉลากกำกับหรือคู่มือ เช่น

เครื่องปรับอากาศ 12,000 BTU ใช้พลังงานประมาณ 1,200-1,500 วัตต์
เครื่องทำน้ำอุ่น ใช้พลังงานประมาณ 3,500-4,500 วัตต์
ตู้เย็น ใช้พลังงานประมาณ 500-700 วัตต์

หารด้วยแรงดันไฟฟ้ามาตรฐาน (220 โวลต์)เพื่อหาค่ากระแสไฟฟ้าเป็นแอมป์ โดยใช้สูตร
         กระแสไฟฟ้า (แอมป์) = กำลังไฟฟ้า (วัตต์) ÷ แรงดันไฟฟ้า (โวลต์)

บวกเพิ่มอีก 20-30% เพื่อสำรองไว้สำหรับการใช้งานในอนาคต


 
 
ตัวอย่างการคำนวณ
บ้านที่มีแอร์ 2 เครื่อง (2,200 วัตต์/เครื่อง) เครื่องซักผ้า (1,500 วัตต์) ตู้เย็น (600 วัตต์) และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ รวมปริมาณการใช้ไฟแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 8,000 วัตต์
วิธีคำนวณ

นำกำลังไฟฟ้าทั้งหมดมารวมกัน = 8,000 วัตต์
คำนวณหาค่ากระแสไฟฟ้า = กำลังไฟฟ้า (วัตต์) ÷ แรงดันไฟฟ้า (โวลต์)
= 8,000 วัตต์ ÷ 220 โวลต์ = 36.36 แอมป์
เผื่อการใช้งานในอนาคตอีก 20% = 36.36 แอมป์ × 1.2 = 43.64 แอมป์

ดังนั้นควรเลือกใช้มิเตอร์ขนาด 50 แอมป์ เพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างเพียงพอและมีสำรองสำหรับอนาคต
 

 
5. ประโยชน์ของการเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่เหมาะสม

ป้องกันปัญหาไฟฟ้าขัดข้องเมื่อเปิดใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าหลายเครื่องพร้อมกัน มิเตอร์ที่มีขนาดเหมาะสมจะไม่ทำให้เบรกเกอร์ตัดการทำงาน
ประหยัดค่าบริการรายเดือนการไฟฟ้าเรียกเก็บตามขนาดมิเตอร์ แต่หากขนาดมิเตอร์ใหญ่เกินความจำเป็นจะทำให้คุณต้องเสียค่าบริการรายเดือนที่สูงขึ้น
ลดความเสี่ยงอันตรายจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟไหม้ เนื่องจากมิเตอร์ขนาดที่เหมาะสมจะมีระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
รองรับการขยายตัวในอนาคตเช่น หากต้องการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์หรือซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติม
ยืดอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เนื่องจากมิเตอร์ที่เหมาะสมช่วยให้กระแสไฟฟ้ามีความเสถียร

6. สิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนซื้อบ้าน: เรื่องระบบไฟฟ้า

ตำแหน่งและขนาดของมิเตอร์ไฟฟ้าควรติดตั้งในตำแหน่งที่เข้าถึงง่าย และมีขนาดเหมาะสมกับขนาดบ้าน
ระบบสายดินบ้านต้องมีระบบสายดินที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยจากไฟฟ้ารั่ว
แผงควบคุมไฟฟ้าควรมีคุณภาพดี มีเบรกเกอร์ครบถ้วนตามมาตรฐาน และรองรับการขยายการใช้งานในอนาคต
จำนวนและตำแหน่งเต้ารับควรมีเพียงพอและกระจายทั่วบ้าน รวมถึงจุดติดตั้งเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่น
ระบบไฟฟ้าอัจฉริยะโครงการบ้านระดับพรีเมียมอาจมีระบบควบคุมการใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ซึ่งช่วยให้ผู้อยู่อาศัยใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อเข้าใจเรื่องมิเตอร์ไฟฟ้าและขนาดที่เหมาะสมแล้ว ก็ถึงเวลาเลือกบ้านที่มีระบบไฟฟ้าที่ติดตั้งได้ตามมาตรฐานเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ SC Asset มีโครงการบ้านคุณภาพที่ออกแบบระบบไฟฟ้าอย่างพิถีพิถัน เพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างปลอดภัย พร้อมทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑลซื้อบ้านในกรุงเทพฯ วันนี้ รับข้อเสนอพิเศษสำหรับคุณ
กรอกฟอร์มบนเว็บไซต์หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1749เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยแนะนำบ้านที่ใช่และเหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์
 

มิเตอร์ไฟฟ้าควรมีขนาดเท่าไรถึงจะเหมาะกับบ้านคุณ ? เรียนรู้วิธีเลือกขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าที่ทั้งประหยัดค่าไฟ และปลอดภัยสำหรับการใช้งานระยะยาว

รวมเรื่องน่ารู้ มิเตอร์ไฟบ้าน: ความรู้จำเป็นสำหรับคนมีบ้าน

ไฟบ้านกี่แอมป์ ? เลือกมิเตอร์ไฟฟ้าให้เหมาะกับการใช้งาน

<p>การอยู่อาศัยในบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่กว้างขวางสามารถเสริมสร้างความสุขให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัว แต่ไม่เพียงแค่พื้นที่รอบบ้านที่เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังควรมี “ห้องอเนกประสงค์” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้การใช้ชีวิตของครอบครัว Multi-Generation สามารถสร้างความยืดหยุ่นและสุนทรียภาพในการใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างลงตัว</p>
<p> </p>
<h2><strong>รู้จักห้องอเนกประสงค์ในแปลนบ้านหรู ส่วนนี้คือห้องอะไร ?</strong></h2>
<p><strong>ห้องอเนกประสงค์ คือ พื้นที่พิเศษในแปลนบ้านที่ไม่ได้ถูกกำหนดให้มีฟังก์ชันตายตัว แต่สามารถปรับเปลี่ยนและตกแต่งได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย</strong>โดยเฉพาะในบ้านหรูที่เน้นการออกแบบเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ห้องอเนกประสงค์จึงมักเป็นมากกว่าห้องว่าง ๆ หนึ่งห้อง เพราะจะมาพร้อมรายละเอียดที่พิถีพิถัน ทั้งในแง่ของงานสถาปัตยกรรม วัสดุตกแต่งระดับพรีเมียม ระบบแสง เสียง และการระบายอากาศ รวมถึงอาจมีการติดตั้งเทคโนโลยีสมาร์ตโฮมเพื่อการใช้งานที่สะดวกสบายและตอบโจทย์อนาคต</p>
<p>การมีห้องอเนกประสงค์ในบ้านหรู เปรียบเสมือนการมีพื้นที่เสริมที่สามารถเปลี่ยนฟังก์ชันได้ตามรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปได้อย่างลงตัว โดยสามารถใช้เป็นห้องต่าง ๆ ในบ้าน ไม่ว่าจะใช้เป็นห้องทำงานห้องเรียนออนไลน์ ห้องดูหนัง ห้องออกกำลังกาย ห้องนั่งสมาธิ หรือแม้แต่ห้องสำหรับรับรองแขกคนสำคัญ</p>
<p> </p>
<h2><strong>ห้องอเนกประสงค์มีประโยชน์อย่างไร ?</strong></h2>
<h3><strong>มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น</strong></h3>
<p>แม้จะดูเหมือนห้องในบ้านทั่ว ๆ ไป แต่ห้องอเนกประสงค์คือตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว จากพื้นที่ที่เคยถูกปล่อยว่างหรือใช้เป็นมุมตกแต่ง สามารถปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องที่มีประโยชน์และใช้งานได้จริงทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องรื้อหรือปรับโครงสร้างหลักของบ้าน</p>
<h3><strong>ช่วยแบ่งห้องในบ้านให้เป็นสัดส่วน</strong></h3>
<p>สำหรับบ้านหรูที่มักมีขนาดพื้นที่มาก ห้องอเนกประสงค์สามารถทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างห้องต่าง ๆ ในบ้านได้ เช่น ระหว่างโซนพักผ่อนกับโซนรับประทานอาหาร หรืออาจใช้เพื่อแยกกิจกรรมของแต่ละเจเนอเรชัน เช่น พื้นที่ทำงานของลูก กับพื้นที่พักผ่อนของผู้สูงอายุ โดยไม่รบกวนกัน</p>
<h3><strong>รองรับกิจกรรมหลายประเภท</strong></h3>
<p>ไลฟ์สไตล์ของแต่ละครอบครัวมีความเฉพาะตัว เช่น บางบ้านอาจต้องการห้องสำหรับซ้อมดนตรี ห้องสำหรับเด็กเล็ก หรือห้องทำงานเงียบ ๆ ที่ไม่ถูกรบกวนจากเสียงรอบข้าง ห้องอเนกประสงค์จึงเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นที่สุด เพราะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา</p>
<h3><strong>ตอบโจทย์ครอบครัวที่มีหลากหลายช่วงอายุ</strong></h3>
<p>หนึ่งในความท้าทายของครอบครัว Multi-Generation คือ การออกแบบพื้นที่ให้ตอบสนองกับสมาชิกในบ้านที่มีอายุและความสนใจแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยทำงาน หรือวัยเกษียณ ห้องอเนกประสงค์สามารถถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ทุกคนใช้ร่วมกันได้อย่างลงตัว เช่น ห้องนั่งเล่นที่มีโซนอ่านหนังสือสำหรับเด็ก พื้นที่ทำงานสำหรับผู้ใหญ่ และมุมพักผ่อนที่เงียบสงบสำหรับผู้สูงอายุ</p>
<p> </p>
<p><img src="https://www.scasset.com/stocks/blog_list/o0x0/tj/ww/tjww4aogfer/Apr25_Blog_2_การปรับห้องอเนกประสงค์ให้เป็นห้องโฮมเธียเตอร์.jpg" alt="การปรับห้องอเนกประสงค์ให้เป็นห้องโฮมเธียเตอร์" /></p>
<p> </p>
<h2><strong>ตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากห้องอเนกประสงค์ในบ้านหรู</strong></h2>
<h3><strong>ห้องโฮมเธียเตอร์และพักผ่อน</strong></h3>
<p>เมื่ออยากเปลี่ยนบรรยากาศในวันหยุดให้กลายเป็นวันดูหนังสุดพิเศษ ห้องอเนกประสงค์สามารถออกแบบให้กลายเป็นห้องโฮมเธียเตอร์ระดับพรีเมียมได้ พร้อมระบบแสง สี เสียงแบบจัดเต็ม</p>
<h3><strong>ห้องทำงานแบบ Co-Working Space ภายในบ้าน</strong></h3>
<p>สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกทำงานจากบ้าน (Work from Home) การมีห้องอเนกประสงค์ที่สามารถจัดสรรเป็นพื้นที่ทำงานร่วมกันจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมรองรับการประชุมออนไลน์ด้วยระบบไฟและอินเทอร์เน็ตที่เสถียร</p>
<h3><strong>ห้องกิจกรรมสำหรับเด็กและวัยรุ่น</strong></h3>
<p>สามารถปรับห้องอเนกประสงค์ให้กลายเป็นโซนสร้างสรรค์สำหรับเด็ก เช่น ห้องศิลปะ ห้องเรียนพิเศษ หรือห้องเกม ที่ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้และสนุกสนานโดยไม่รบกวนพื้นที่ส่วนกลางของบ้าน</p>
<h3><strong>ห้องออกกำลังกายส่วนตัว</strong></h3>
<p>ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การมีห้องออกกำลังกายภายในบ้านก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่คิดไม่ออกว่าจะใช้ห้องอเนกประสงค์เป็นห้องอะไรดีที่สามารถใช้งานได้ทั้งครอบครัว</p>
<p> </p>
<p>หากคุณกำลังมองหาโครงการ<a href="https://www.scasset.com/th/property/house/luxury/">บ้านหรู ๆ</a>ที่ออกแบบมาเพื่อทุกวัย พร้อมห้องอเนกประสงค์ที่รองรับทุกกิจกรรมในครอบครัว SC Asset ขอนำเสนอโปรเจกต์บ้านจัดสรรที่มีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน พักผ่อน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ทุกวัยในครอบครัว พร้อมทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล กรอกฟอร์มบนเว็บไซต์เพื่อรับสิทธิพิเศษได้เลยวันนี้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร. <a href="tel:1749" target="_self">1749</a> เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยแนะนำบ้านที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ</p>
<p> </p>

การอยู่อาศัยในบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่กว้างขวางสามารถเสริมสร้างความสุขให้กับสมาชิกทุกคนในครอบครัว แต่ไม่เพียงแค่พื้นที่รอบบ้านที่เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังควรมี “ห้องอเนกประสงค์” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้การใช้ชีวิตของครอบครัว Multi-Generation สามารถสร้างความยืดหยุ่นและสุนทรียภาพในการใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างลงตัว
 
รู้จักห้องอเนกประสงค์ในแปลนบ้านหรู ส่วนนี้คือห้องอะไร ?
ห้องอเนกประสงค์ คือ พื้นที่พิเศษในแปลนบ้านที่ไม่ได้ถูกกำหนดให้มีฟังก์ชันตายตัว แต่สามารถปรับเปลี่ยนและตกแต่งได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัยโดยเฉพาะในบ้านหรูที่เน้นการออกแบบเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ห้องอเนกประสงค์จึงมักเป็นมากกว่าห้องว่าง ๆ หนึ่งห้อง เพราะจะมาพร้อมรายละเอียดที่พิถีพิถัน ทั้งในแง่ของงานสถาปัตยกรรม วัสดุตกแต่งระดับพรีเมียม ระบบแสง เสียง และการระบายอากาศ รวมถึงอาจมีการติดตั้งเทคโนโลยีสมาร์ตโฮมเพื่อการใช้งานที่สะดวกสบายและตอบโจทย์อนาคต
การมีห้องอเนกประสงค์ในบ้านหรู เปรียบเสมือนการมีพื้นที่เสริมที่สามารถเปลี่ยนฟังก์ชันได้ตามรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปได้อย่างลงตัว โดยสามารถใช้เป็นห้องต่าง ๆ ในบ้าน ไม่ว่าจะใช้เป็นห้องทำงานห้องเรียนออนไลน์ ห้องดูหนัง ห้องออกกำลังกาย ห้องนั่งสมาธิ หรือแม้แต่ห้องสำหรับรับรองแขกคนสำคัญ
 
ห้องอเนกประสงค์มีประโยชน์อย่างไร ?
มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น
แม้จะดูเหมือนห้องในบ้านทั่ว ๆ ไป แต่ห้องอเนกประสงค์คือตัวช่วยสำคัญในการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยทีเดียว จากพื้นที่ที่เคยถูกปล่อยว่างหรือใช้เป็นมุมตกแต่ง สามารถปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องที่มีประโยชน์และใช้งานได้จริงทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องรื้อหรือปรับโครงสร้างหลักของบ้าน
ช่วยแบ่งห้องในบ้านให้เป็นสัดส่วน
สำหรับบ้านหรูที่มักมีขนาดพื้นที่มาก ห้องอเนกประสงค์สามารถทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างห้องต่าง ๆ ในบ้านได้ เช่น ระหว่างโซนพักผ่อนกับโซนรับประทานอาหาร หรืออาจใช้เพื่อแยกกิจกรรมของแต่ละเจเนอเรชัน เช่น พื้นที่ทำงานของลูก กับพื้นที่พักผ่อนของผู้สูงอายุ โดยไม่รบกวนกัน
รองรับกิจกรรมหลายประเภท
ไลฟ์สไตล์ของแต่ละครอบครัวมีความเฉพาะตัว เช่น บางบ้านอาจต้องการห้องสำหรับซ้อมดนตรี ห้องสำหรับเด็กเล็ก หรือห้องทำงานเงียบ ๆ ที่ไม่ถูกรบกวนจากเสียงรอบข้าง ห้องอเนกประสงค์จึงเป็นทางเลือกที่ยืดหยุ่นที่สุด เพราะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา
ตอบโจทย์ครอบครัวที่มีหลากหลายช่วงอายุ
หนึ่งในความท้าทายของครอบครัว Multi-Generation คือ การออกแบบพื้นที่ให้ตอบสนองกับสมาชิกในบ้านที่มีอายุและความสนใจแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยทำงาน หรือวัยเกษียณ ห้องอเนกประสงค์สามารถถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ทุกคนใช้ร่วมกันได้อย่างลงตัว เช่น ห้องนั่งเล่นที่มีโซนอ่านหนังสือสำหรับเด็ก พื้นที่ทำงานสำหรับผู้ใหญ่ และมุมพักผ่อนที่เงียบสงบสำหรับผู้สูงอายุ
 

 
ตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากห้องอเนกประสงค์ในบ้านหรู
ห้องโฮมเธียเตอร์และพักผ่อน
เมื่ออยากเปลี่ยนบรรยากาศในวันหยุดให้กลายเป็นวันดูหนังสุดพิเศษ ห้องอเนกประสงค์สามารถออกแบบให้กลายเป็นห้องโฮมเธียเตอร์ระดับพรีเมียมได้ พร้อมระบบแสง สี เสียงแบบจัดเต็ม
ห้องทำงานแบบ Co-Working Space ภายในบ้าน
สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกทำงานจากบ้าน (Work from Home) การมีห้องอเนกประสงค์ที่สามารถจัดสรรเป็นพื้นที่ทำงานร่วมกันจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมรองรับการประชุมออนไลน์ด้วยระบบไฟและอินเทอร์เน็ตที่เสถียร
ห้องกิจกรรมสำหรับเด็กและวัยรุ่น
สามารถปรับห้องอเนกประสงค์ให้กลายเป็นโซนสร้างสรรค์สำหรับเด็ก เช่น ห้องศิลปะ ห้องเรียนพิเศษ หรือห้องเกม ที่ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้และสนุกสนานโดยไม่รบกวนพื้นที่ส่วนกลางของบ้าน
ห้องออกกำลังกายส่วนตัว
ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น การมีห้องออกกำลังกายภายในบ้านก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่คิดไม่ออกว่าจะใช้ห้องอเนกประสงค์เป็นห้องอะไรดีที่สามารถใช้งานได้ทั้งครอบครัว
 
หากคุณกำลังมองหาโครงการบ้านหรู ๆที่ออกแบบมาเพื่อทุกวัย พร้อมห้องอเนกประสงค์ที่รองรับทุกกิจกรรมในครอบครัว SC Asset ขอนำเสนอโปรเจกต์บ้านจัดสรรที่มีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน พักผ่อน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ทุกวัยในครอบครัว พร้อมทำเลศักยภาพทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล กรอกฟอร์มบนเว็บไซต์เพื่อรับสิทธิพิเศษได้เลยวันนี้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ โทร. 1749 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ช่วยแนะนำบ้านที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ
 

ค้นพบประโยชน์ของห้องอเนกประสงค์ในบ้านหรู ที่ช่วยตอบโจทย์การใช้ชีวิตของครอบครัวหลายเจเนอเรชัน เพิ่มพื้นที่ใช้งานให้ดูดีและยืดหยุ่น พร้อมฟังก์ชันหลากหลาย

ห้องอเนกประสงค์ในแปลนบ้านหรู เพื่อครอบครัว Multi-Generation

รู้จักบทบาทของ "ห้องอเนกประสงค์" ที่ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว

<p>การตั้งศาลพระภูมิเป็นวัฒนธรรมที่คู่กับสังคมไทยมานาน ด้วยความเชื่อที่ว่าศาลพระภูมิเป็นที่สถิตของเทพารักษ์ผู้คอยปกปักรักษาบ้านเรือนให้ร่มเย็นเป็นสุข อีกทั้งยังเสริมสร้างสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองแก่ผู้อยู่อาศัย หากคุณกำลังมีคำถามเกี่ยวกับการตั้งศาลพระภูมิที่ถูกต้องตามหลักความเชื่อดั้งเดิม เรามีแนวทางปฏิบัติตั้งแต่เริ่มจนจบมาบอก !</p>
<p> </p>
<h2><strong>ทำความรู้จักที่มาของศาลพระภูมิ</strong></h2>
<p>ศาลพระภูมิเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคลและความเชื่อทางศาสนาที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน โดยเป็นสถานที่ประทับของพระชัยมงคลหรือเทพารักษ์ ซึ่งทำหน้าที่คอยปกปักรักษาบ้านเรือนให้มีความสงบสุข ปลอดภัย และนำพาโชคลาภมาสู่ผู้อยู่อาศัย มีลักษณะเป็นวิหารขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนเสาต้นเดียว ซึ่งต่างจากศาลเจ้าที่ที่มีฐานกว้างกว่าและตั้งอยู่บนพื้นดิน ตามความเชื่อดั้งเดิม ศาลพระภูมิจะต้องถูกยกสูงขึ้นเพื่อให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเหมาะสมกับการสถิตของเทพผู้คุ้มครองบ้านเรือน</p>
<p> </p>
<h2><strong>องค์ประกอบสำคัญในการตั้งศาลพระภูมิ ใช้อะไรบ้าง ?</strong></h2>
<p> </p>
<h3><strong>1. เจว็ดศาลพระภูมิ</strong></h3>
<p>เป็นรูปเคารพที่เป็นตัวแทนของพระภูมิผู้คุ้มครองบ้านเรือน มักทำจากไม้หรือปูนปั้น และได้รับการประดับตกแต่งอย่างสวยงาม</p>
<p> </p>
<h3><strong>2. บริวารของพระภูมิ</strong></h3>
<ul>
<li>ผ้าผูกเจว็ด อย่างละ 1 คู่</li>
<li>ตุ๊กตาช้าง-ม้า อย่างละ 1 คู่</li>
<li>ละครยกหรือละครรำ 2 โรง</li>
</ul>
<h3><strong>3. เครื่องประดับตกแต่งศาลพระภูมิ</strong></h3>
<ul>
<li>ผ้าผูกเจว็ด 1 ผืน</li>
<li>แจกัน 1 คู่</li>
<li>เชิงเทียน 1 คู่</li>
<li>กระถางธูป 1 ใบ</li>
<li>ฉัตรเงิน-ฉัตรทอง 2 คู่</li>
<li>ผ้าแพร 3 สี สำหรับพันศาล 1 ชุด</li>
<li>ผ้าขาว 1 ผืน</li>
<li>ทองคำเปลว 1 ชุด</li>
<li>แป้งเจิม 1 ถ้วย</li>
</ul>
<p> </p>
<h2><strong>ตำแหน่งและทิศทางที่เหมาะสมในการตั้งศาลพระภูมิ</strong></h2>
<ul>
<li>นิยมตั้งที่มุมหน้าบ้าน เพื่อให้เป็นที่สถิตของพระภูมิอย่างเหมาะสม</li>
<li>พื้นที่ต้องสะอาดและไม่รกรุงรัง เพื่อให้พลังงานดีไหลเวียนได้ดี</li>
<li>ควรตั้งในบริเวณที่รับแสงอาทิตย์ได้โดยตรง ไม่อยู่ใต้ชายคาหรือต้นไม้ใหญ่บดบัง</li>
<li>ศาลพระภูมิต้องอยู่ในระดับสูงกว่าหรือเท่ากับตัวบ้าน</li>
<li>ทิศที่เหมาะสม ได้แก่ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเป็นทิศที่ได้รับพลังบวกจากดวงอาทิตย์ยามเช้า</li>
</ul>
<p> </p>
<h2><strong>ขั้นตอนการปักเสาและการตั้งศาลพระภูมิที่ถูกต้อง</strong></h2>
<ul>
<li><strong>การเตรียมเสา</strong> : เสาศาลพระภูมิควรทำจากไม้ที่แข็งแรงและทนทาน เช่น ไม้สัก ไม้มะขาม หรือไม้ประดู่</li>
<li><strong>การขุดหลุม</strong> : ควรขุดหลุมให้มีความลึกประมาณ 1 เมตร หรือลึกพอที่จะทำให้เสามั่นคงแข็งแรง</li>
<li><strong>การปักเสา</strong> : ควรปักเสาในวันและเวลาที่เป็นฤกษ์ดี โดยให้หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ปักเสา</li>
<li><strong>การเทคอนกรีต</strong> : เพื่อความมั่นคงแข็งแรง ควรเทคอนกรีตรอบฐานเสา</li>
<li><strong>การติดตั้งศาล</strong> : หลังจากเสาแห้งและมั่นคงแล้ว จึงนำศาลพระภูมิมาติดตั้งบนเสา</li>
</ul>
<p> </p>
<h2><strong>ฤกษ์ในการตั้งศาลพระภูมิ</strong></h2>
<ul>
<li>วันอาทิตย์และวันพฤหัสบดีถือเป็นวันมงคลในการตั้งศาลพระภูมิ</li>
<li>ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือช่วงเช้า ระหว่าง 07.00 - 11.00 น.</li>
<li>ควรเลือกเดือนคู่ตามปฏิทินจันทรคติ (เดือน 2, 4, 6, 8, 10, 12)</li>
</ul>
<p> </p>
<p><img src="https://www.scasset.com/stocks/blog_list/o0x0/qu/rp/qurpv3b8zey/Mar25_Blog_10_หัวหมู_เป็นหนึ่งในเครื่องสังเวยหลักในการตั้งศาลพระภูมิที่ถูกต้อง_(1).jpg" alt="หัวหมู เป็นหนึ่งในเครื่องสังเวยหลักในการตั้งศาลพระภูมิที่ถูกต้อง" /></p>
<p> </p>
<h2><strong>รายการของไหว้ในพิธีตั้งศาลพระภูมิ ใช้อะไรบ้าง ?</strong></h2>
<h3><strong>1. เครื่องสังเวยหลัก</strong></h3>
<ul>
<li>หัวหมู 1 หัว</li>
<li>ไก่ต้ม 1 ตัว</li>
<li>เป็ดต้ม 1 ตัว</li>
<li>ไข่ต้ม 9 ฟอง</li>
<li>กล้วยน้ำว้า 1 หวี</li>
<li>มะพร้าวอ่อน 2 ลูก</li>
<li>ขนมต้มแดง-ขาว อย่างละ 9 ชิ้น</li>
<li>อาหารคาว-หวาน อย่างละ 9 อย่าง</li>
</ul>
<h3><strong>2. เครื่องสังเวยทั่วไป</strong></h3>
<ul>
<li>ดอกไม้สด 5 สี (แดง ขาว เหลือง ม่วง ชมพู)</li>
<li>ธูป 9 ดอก</li>
<li>น้ำสะอาด 1 แก้ว</li>
<li>น้ำหอม 1 ขวด</li>
<li>น้ำแดง (น้ำกระแช่) 1 แก้ว</li>
</ul>
<p> </p>
<p>การตั้งศาลพระภูมิถือเป็นพิธีกรรมที่มีความหมายและความเชื่อเกี่ยวข้องกับความเป็นสิริมงคลของบ้าน ดังนั้น เจ้าของบ้านควรเตรียมองค์ประกอบให้ครบถ้วน เลือกตำแหน่งและทิศที่เหมาะสม ปฏิบัติตามขั้นตอนการปักเสาและตั้งศาลให้ถูกต้อง ตลอดจนเลือกฤกษ์มงคลเพื่อเสริมพลังบวกให้แก่บ้าน ทั้งนี้ รายละเอียดปลีกย่อยอาจแตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น แต่สิ่งสำคัญ คือ ความตั้งใจและความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่บ้านและผู้อยู่อาศัย</p>
<p> </p>
<p>หากคุณกำลังมองหาบ้านดี ๆ ที่พร้อมมอบชีวิตอันแสนสงบสุข SC Asset ขอนำเสนอ<a href="https://www.scasset.com/th/house/" target="_self">บ้านจัดสรร</a>คุณภาพที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทุกโครงการออกแบบด้วยความใส่ใจในรายละเอียดเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่หลากหลายสำหรับทุกคนในครอบครัว ทั้งยังเดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าและทางด่วน ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยเชื่อมต่อกับทุกจุดหมายในเมืองได้อย่างรวดเร็ว มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นคลับเฮาส์ส่วนกลางขนาดใหญ่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกันของคนในโครงการ ในขณะเดียวกัน ทุกบ้านยังได้รับการออกแบบให้มีความเป็นส่วนตัวสูง ภายใต้ระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด เพื่อความอุ่นใจของผู้อยู่อาศัย</p>
<p> </p>
<p>กรอกฟอร์มบนเว็บไซต์เพื่อรับสิทธิพิเศษได้เลยวันนี้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. <a href="tel:1749" target="_self">1749</a></p>
<p> </p>

การตั้งศาลพระภูมิเป็นวัฒนธรรมที่คู่กับสังคมไทยมานาน ด้วยความเชื่อที่ว่าศาลพระภูมิเป็นที่สถิตของเทพารักษ์ผู้คอยปกปักรักษาบ้านเรือนให้ร่มเย็นเป็นสุข อีกทั้งยังเสริมสร้างสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองแก่ผู้อยู่อาศัย หากคุณกำลังมีคำถามเกี่ยวกับการตั้งศาลพระภูมิที่ถูกต้องตามหลักความเชื่อดั้งเดิม เรามีแนวทางปฏิบัติตั้งแต่เริ่มจนจบมาบอก !
 
ทำความรู้จักที่มาของศาลพระภูมิ
ศาลพระภูมิเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคลและความเชื่อทางศาสนาที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน โดยเป็นสถานที่ประทับของพระชัยมงคลหรือเทพารักษ์ ซึ่งทำหน้าที่คอยปกปักรักษาบ้านเรือนให้มีความสงบสุข ปลอดภัย และนำพาโชคลาภมาสู่ผู้อยู่อาศัย มีลักษณะเป็นวิหารขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนเสาต้นเดียว ซึ่งต่างจากศาลเจ้าที่ที่มีฐานกว้างกว่าและตั้งอยู่บนพื้นดิน ตามความเชื่อดั้งเดิม ศาลพระภูมิจะต้องถูกยกสูงขึ้นเพื่อให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเหมาะสมกับการสถิตของเทพผู้คุ้มครองบ้านเรือน
 
องค์ประกอบสำคัญในการตั้งศาลพระภูมิ ใช้อะไรบ้าง ?
 
1. เจว็ดศาลพระภูมิ
เป็นรูปเคารพที่เป็นตัวแทนของพระภูมิผู้คุ้มครองบ้านเรือน มักทำจากไม้หรือปูนปั้น และได้รับการประดับตกแต่งอย่างสวยงาม
 
2. บริวารของพระภูมิ

ผ้าผูกเจว็ด อย่างละ 1 คู่
ตุ๊กตาช้าง-ม้า อย่างละ 1 คู่
ละครยกหรือละครรำ 2 โรง

3. เครื่องประดับตกแต่งศาลพระภูมิ

ผ้าผูกเจว็ด 1 ผืน
แจกัน 1 คู่
เชิงเทียน 1 คู่
กระถางธูป 1 ใบ
ฉัตรเงิน-ฉัตรทอง 2 คู่
ผ้าแพร 3 สี สำหรับพันศาล 1 ชุด
ผ้าขาว 1 ผืน
ทองคำเปลว 1 ชุด
แป้งเจิม 1 ถ้วย

 
ตำแหน่งและทิศทางที่เหมาะสมในการตั้งศาลพระภูมิ

นิยมตั้งที่มุมหน้าบ้าน เพื่อให้เป็นที่สถิตของพระภูมิอย่างเหมาะสม
พื้นที่ต้องสะอาดและไม่รกรุงรัง เพื่อให้พลังงานดีไหลเวียนได้ดี
ควรตั้งในบริเวณที่รับแสงอาทิตย์ได้โดยตรง ไม่อยู่ใต้ชายคาหรือต้นไม้ใหญ่บดบัง
ศาลพระภูมิต้องอยู่ในระดับสูงกว่าหรือเท่ากับตัวบ้าน
ทิศที่เหมาะสม ได้แก่ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเป็นทิศที่ได้รับพลังบวกจากดวงอาทิตย์ยามเช้า

 
ขั้นตอนการปักเสาและการตั้งศาลพระภูมิที่ถูกต้อง

การเตรียมเสา : เสาศาลพระภูมิควรทำจากไม้ที่แข็งแรงและทนทาน เช่น ไม้สัก ไม้มะขาม หรือไม้ประดู่
การขุดหลุม : ควรขุดหลุมให้มีความลึกประมาณ 1 เมตร หรือลึกพอที่จะทำให้เสามั่นคงแข็งแรง
การปักเสา : ควรปักเสาในวันและเวลาที่เป็นฤกษ์ดี โดยให้หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ปักเสา
การเทคอนกรีต : เพื่อความมั่นคงแข็งแรง ควรเทคอนกรีตรอบฐานเสา
การติดตั้งศาล : หลังจากเสาแห้งและมั่นคงแล้ว จึงนำศาลพระภูมิมาติดตั้งบนเสา

 
ฤกษ์ในการตั้งศาลพระภูมิ

วันอาทิตย์และวันพฤหัสบดีถือเป็นวันมงคลในการตั้งศาลพระภูมิ
ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือช่วงเช้า ระหว่าง 07.00 - 11.00 น.
ควรเลือกเดือนคู่ตามปฏิทินจันทรคติ (เดือน 2, 4, 6, 8, 10, 12)

 

 
รายการของไหว้ในพิธีตั้งศาลพระภูมิ ใช้อะไรบ้าง ?
1. เครื่องสังเวยหลัก

หัวหมู 1 หัว
ไก่ต้ม 1 ตัว
เป็ดต้ม 1 ตัว
ไข่ต้ม 9 ฟอง
กล้วยน้ำว้า 1 หวี
มะพร้าวอ่อน 2 ลูก
ขนมต้มแดง-ขาว อย่างละ 9 ชิ้น
อาหารคาว-หวาน อย่างละ 9 อย่าง

2. เครื่องสังเวยทั่วไป

ดอกไม้สด 5 สี (แดง ขาว เหลือง ม่วง ชมพู)
ธูป 9 ดอก
น้ำสะอาด 1 แก้ว
น้ำหอม 1 ขวด
น้ำแดง (น้ำกระแช่) 1 แก้ว

 
การตั้งศาลพระภูมิถือเป็นพิธีกรรมที่มีความหมายและความเชื่อเกี่ยวข้องกับความเป็นสิริมงคลของบ้าน ดังนั้น เจ้าของบ้านควรเตรียมองค์ประกอบให้ครบถ้วน เลือกตำแหน่งและทิศที่เหมาะสม ปฏิบัติตามขั้นตอนการปักเสาและตั้งศาลให้ถูกต้อง ตลอดจนเลือกฤกษ์มงคลเพื่อเสริมพลังบวกให้แก่บ้าน ทั้งนี้ รายละเอียดปลีกย่อยอาจแตกต่างกันไปตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น แต่สิ่งสำคัญ คือ ความตั้งใจและความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่บ้านและผู้อยู่อาศัย
 
หากคุณกำลังมองหาบ้านดี ๆ ที่พร้อมมอบชีวิตอันแสนสงบสุข SC Asset ขอนำเสนอบ้านจัดสรรคุณภาพที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพใจกลางกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทุกโครงการออกแบบด้วยความใส่ใจในรายละเอียดเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่หลากหลายสำหรับทุกคนในครอบครัว ทั้งยังเดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าและทางด่วน ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยเชื่อมต่อกับทุกจุดหมายในเมืองได้อย่างรวดเร็ว มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นคลับเฮาส์ส่วนกลางขนาดใหญ่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกันของคนในโครงการ ในขณะเดียวกัน ทุกบ้านยังได้รับการออกแบบให้มีความเป็นส่วนตัวสูง ภายใต้ระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด เพื่อความอุ่นใจของผู้อยู่อาศัย
 
กรอกฟอร์มบนเว็บไซต์เพื่อรับสิทธิพิเศษได้เลยวันนี้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1749
 

รวมขั้นตอนการตั้งศาลพระภูมิที่ถูกต้อง พร้อมแนะนำของไหว้ที่จำเป็น ตำแหน่งที่เหมาะสม และฤกษ์มงคล เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้อยู่เย็นเป็นสุข

การตั้งศาลพระภูมิต้องใช้อะไรบ้าง รวมทุกขั้นตอนให้แล้ว !

การตั้งศาลพระภูมิใช้อะไรบ้าง บอกทุกขั้นตอนครบ จบในที่เดียว !

ค่าส่วนกลางคอนโดคิดจากอะไร ? เงินที่จ่ายไปถูกนำไปใช้ในด้านใด ? มาเรียนรู้วิธีคำนวณ และข้อควรรู้ที่เกี่ยวข้องกับค่าส่วนกลางก่อนตัดสินใจซื้อคอนโด

ค่าส่วนกลางคอนโดจ่ายแล้วไปไหน ? : คิดจากอะไร รวมค่าอะไรบ้าง

เจาะลึก! ค่าส่วนกลางคอนโดสำคัญยังไง พร้อมวิธีคำนวณ

รีไฟแนนซ์ คือ การกู้สินเชื่อจากที่ใหม่เพื่อนำไปชำระหนี้จากที่เก่า ด้วยผลประโยชน์ของอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง และขยายระยะเวลาชำระเงินกู้ที่นานขึ้น

รีไฟแนนซ์ (Refinance) คืออะไร มีข้อควรรู้ก่อนทำหรือไม่?

รีไฟแนนซ์ (Refinance) คืออะไร? ขั้นตอนการรีไฟแนนซ์ที่ควรรู้

ข้อมูลเชิงลึกและงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยคุณภาพจาก SC Asset เพื่อความเข้าใจในแนวโน้มและกลยุทธ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์